ฟุตบอล คือ กีฬาชนิดหนึ่ง และแน่นอนว่า ฟุตบอลคือชีวิต

มีไว้สนุกสนาน, ตื่นเต้น, หัวเราะ และร่ำไห้

ถ้าเลยไปหน่อย ก็คือ มีไว้ซีเรียส, จริงจัง กระทั่งบนบานสานกล่าวให้ทีมชนะ และในที่สุดแล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไป

ดังนั้นอย่าให้ “ความใจแคบ” มาเป็นสิ่งปนเปื้อนกับการดู“ฟุตบอล”

เพราะถ้าเตะทีมเดียว มันไม่สนุกหรอก!!!!

......11 กรกฎาคม 2021 การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 16 หรือ ยูโร 2020 เดินทางมาถึงวันสุดท้ายของการแข่งขัน เหลืออยู่ 2 ทีมสุดท้ายที่ได้ชิงชนะเลิศ

ไม่ว่าคุณจะเชียร์ใคร หรือ ถือหางฝ่ายใดเป็นพิเศษ แต่นี่คือ “โบนัสสำคัญ” ของวงการชั่วอายุของมวลมนุษย์ฟุตบอล สำหรับ “คนที่ดูบอลเป็นอาชีพ” จะรู้สึก “พิเศษมาก” เมื่อได้เห็นคู่นี้เข้ามาชิงฯกัน

ทีมชาติอิตาลี พบกับ ทีมชาติอังกฤษ

ใช่ครับ! ทั้งสองทีมนี้เป็นทีมใหญ่ แฟนบอลเยอะแยะมากมาย แต่กลับไม่เคยได้ชิงชนะเลิศรายการใดๆ กันเลย!!!

มันเกิดขึ้นแล้วในยุคโควิดครองโลก ยากดีมีจน ได้เสียผู้เสียคนและบางคนเสียหมา ในเพลานี้ มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นมากมายไม่เว้นแต่วงการลูกหนัง

ดีที่สุดของคู่นี้ที่เจอกันในนัดชิงฯ แต่เป็นนัด “ชิงอันดับ 3” ของศึกฟุตบอลโลก ปี 1990 โน่นเลย 31 ปีที่แล้ว น่าแปลกดีจริงๆที่ว่าทำไมไม่เจอกัน

ถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราไม่ควรพลาดเกมนี้ ทั้งที่เป็นสาวก, เป็นแฟนบอลขั้นเทพ หรือดูไปตามสถานการณ์ก็ตาม

หากว่ากันถึง อิตาลี กับ อังกฤษ ในเชิงฟุตบอลนั้น จะว่าไปในเชิงประวัติศาสตร์แล้วล่ะก็ เกี่ยวดองกันแบบเต็มแรงรัก

ตัวอย่างที่จะขอนำเสนอก็คือ จูเลียส ซีซาร์ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโรมัน ยกพลมาที่นี่เมื่อ 55 ปีก่อนคริสตกาล อาจจะยังไม่บรรลุเรื่องราวทั้งหมด กระทั่งรออีกเกือบๆ 100 ปีต่อมา

ถึงยุคของ จักรพรรดิคลอดิอุส ในค.ศ. 43 พวกเขาเรียกที่นี่ว่า “พริทานี” ที่กาลต่อมากลายเป็นคำว่า บริเทน จนถึงเวลานี้

การดำเนินการถ่ายทอดอารยธรรม, สถาปัตยกรรม และแนวคิดให้คนในท้องถิ่นมากมายในตอนนั้น ยังผลให้ตกทอดมาถึงวันนี้ อาทิ ชื่อเมืองอย่างเช่น เชสเตอร์ ก็คือ ค่ายของโรมัน

เรื่องของสำนวนภาษาก็เช่นเดียวกัน Rome wasn’t built in one day หรือว่าจะเป็น When in Rome, do as the Romans do

หรือจะเป็น “โรมันอนุสรณ์” สำคัญก็คือสิ่งปลูกสร้างอย่าง “กำแพงฮาเดรียน” ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี 1987 ที่เป็นกำแพงยาวตั้งแต่คาร์ไลส์ ไปถึง นิวคาสเซิ่ล 117 กิโลเมตร กว้าง 2-3 เมตร สูง 3.5-3.6 เมตร คือสัญลักษณ์ที่รู้เลยว่า โรมัน ปราบพวก บริเตน ไม่อยู่

นั่นก็เพราะพวกสายแสบอย่าง พิคทาเวีย หรือ “พิคท์ส” ที่โรมันมิอาจจะพิชิตพวกเขาได้เลยในช่วงยึดครองเกาะนี้

พวกเขาสักทั้งตัว อยู่ทางเหนือ และได้รับสมญาว่าเป็น ยอดนักรบสีน้ำเงินแห่งสกอตแลนด์ผู้ลึกลับที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างน่าพิศวง ในช่วงยุคศตวรรษที่ 10

ตัวอย่างชัดเจนของ “โรมันอนุสรณ์” คือ “โรงอาบน้ำ”ที่ใหญ่ทีสุด ตั้งอยู่ที่เมืองบาธ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ท่องเที่ยว และสถานศึกษาที่สำคัญอีกที่ของอังกฤษ ก็มาจากรากศัพท์ Bath ที่แปลว่า อาบน้ำนั่นเอง

แต่ที่ต้องจารึกไปตลอดกาลเช่นกัน คงไม่พ้นเรื่องราวการบุกเข้าแม่น้ำเทมส์ ใน ค.ศ.43 ที่พวกเขาเลือกตลิ่งที่นี่เป็นโกดังเก็บศาสตราวุธ ใช้ในการบุกอังกฤษ

“ลอนดินิอุม” จึงถือกำเนิดเกิดขึ้น โดยใช้เป็นพื้นที่เก็บคลังแสงของชาวโรมันโดยเฉพาะ และจากนั้น “ลอนดินิอุม” ก็ได้กลายเป็นเมืองหลวงของแคว้นบริทาเนียในเครือจักรวรรดิโรมัน ในศตวรรษที่ 2 อันเนื่องมาจากหลายคนมุ่งหน้ามาขุดทองที่นี่ เนื่องจากสะดวกต่อการค้าขาย

ปัจจุบันก็คือ “ลอนดินิอุม” ก็คือ “ลอนดอน” มหานครที่ไม่เคยหลับใหลนั่นเอง..............

หรือใครที่เคยไปที่นั่น ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ จะได้เห็นรูปปั้นของ วีรสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์อังกฤษ “โบดิกา” เธอผู้หาญกล้ารบกับโรมัน ถือเป็น “ขบถครั้งสำคัญ” ของหน้าประวัติศาสตร์ ที่สมรภูมิสำคัญก็คือการขยี้พวกโรมันทั้งที่โคลเชสเตอร์ และลอนดอน จนราบเป็นหน้ากลอง แม้จะปฏิวัติไม่สำเร็จ

แต่พวกโรมัน ก็สั่นสะท้านไม่น้อยไปกว่าพวกพิคท์ส เหมือนกัน

......สายเลือดส่งต่อกันมาขนาดไหนไม่รู้ แต่เรื่องแนวคิด การเป็นระบบระเบียบ อังกฤษ กลายเป็นเมืองที่มีถนนหนทางภาพลักษณ์ชัดเจน จนถูกขนานนามว่า “เมืองผู้ดี”

กฎต่างๆ พวกเขาคิดและเขียนขึ้นมาไม่น้อยหน้าชาติอื่น และเดินหน้าตะลุยดินแดนต่างๆ ไม่ต่างอะไรจาก “โรมัน” ในยุคก่อนหน้านั้น

มาถึงเชิงฟุตบอล อังกฤษ คือชาติแรกที่เขียนกฎต่างๆขึ้นมา แต่ก็มีพื้นฐานจากจากพวกโรมันเช่นเดียวกัน

“ซือ-ซู” (Tsu-Chu) แบบจีน เมื่อ ค.ศ.1130-1160 ได้รับการยอมรับจากฟีฟ่า เป็นรุ่นแรกของเกมที่มีกฎระเบียบปกติ หรือเป็นแนวของกรีกโบราณอย่าง Amcient Greek ที่มีรูปแกะสลักบันทึกไว้ 400-375 ก่อน ค.ศ.

หนึ่งในยุคก่อนคริสตกาล พวกโรมันที่มีการเล่นที่เรียกว่า ฮาร์ปาสตุม (Harpastum)

นอกจากนี้ยังมี ฝรั่งเศส กับ อิตาลี ที่เรียกว่า “ซูเลอ” (Soule) หรือ จิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio)

ลงท้ายคำว่า “แผ่นดินแม่ของฟุตบอล” ตกเป็นของประเทศอังกฤษ อย่างสิ้นเชิง ด้วยแนวคิดของ นาธาเนี่ยล เครสวิค กับวิลเลี่ยม เพรสต์ จัดตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมา โดยพัฒนาจากทีมคริกเกต

ทั้งสองท่าน เริ่มจัดการประชุมและก่อตั้งสโมสร เชฟฟิลด์ เอฟซี อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ปี ค.ศ.1857 หรือ พ.ศ.2400 ณ พาร์คฟิลด์ เฮาส์ ย่านไฮจ์ฟิลด์

ก่อนจะร่วมกันเขียน “กฏกติกาแห่งฟุตบอล” มาปรากฏโฉมต่อทุกคนในอีก 1 ปีต่อมา จนเป็นที่รู้จักในนามของ The SheffieldRules

จนถึงยุคเริ่มต้นอย่างจริงจัง เซอร์โธมัส จอห์นสโตน ลิปตันเศรษฐีเจ้าของ “ชาลิปตัน” คนดังชาวสกอตแลนด์ จัดฟุตบอลระดับ “สโมสรระหว่างชาติ” เป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อการแข่งขันว่า Sir Thomas Lipton Trophy ในปี 1909

เป็นการจัดฟุตบอลสโมสรข้ามประเทศ ไม่เคยมีใครทำขึ้นมาก่อน และเริ่มขึ้นที่ “อิตาลี”

การปะทะแข้งรายการนี้เกิดขึ้นที่นครตูริน ประเทศอิตาลีมีทีมฟุตบอลอาชีพ เข้าแข่งขัน ประกอบด้วย โตริโน่ XI เจ้าถิ่น, เอฟเซ ไวน์เตอร์เธอร์ จากสวิตเซอร์แลนด์, สตุ๊ตการ์เตอร์ สปอร์ตฟรอยด์ จากเยอรมนี อีกทีมคือ เวสต์ อ็อกแลนด์ จากอังกฤษ ที่มาเป็นตัวแทนจากอังกฤษ หลังจาก สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือเอฟเอ ปฏิเสธที่จะส่งสโมสรอาชีพชั้นนำตอนนั้นมาแข่ง

ปรากฏว่า เวสต์ อ็อกแลนด์ ชนะได้ทั้ง สตุ๊ตการ์เตอร์ 2-0 และปราบ ไวน์เตอร์เธอร์ ในนัดชิงฯอีก 2-0 คว้าแชมป์ไปครองแบบหน้าตาเฉย

ก็น่าแปลกดี สองชาตินี้มีความสัมพันธ์ในทาง “ที่ดี” ในเชิงของฟุตบอล

แม้กระทั่ง “ม้าลาย” ยูเวนตุส ทีมดังเจ้าพ่อลูกหนังเมืองมะกะโรนี ก็เปลี่ยนสีเสื้อจากเดิมคือ “สีชมพู” มาเป็น “ขาว-ดำ”ก็เพราะมีคนอังกฤษที่ไปทำงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอที่นครตูริน มีทางออก และเสนอทางแก้ไขเสื้อชมพูที่สีตก ให้มาใช้สินค้าที่มีมาตรฐาน และมีเทคโนโลยีในการผลิตที่ดีกว่า

ด้วยเหตุผลที่ว่า สั่งซื้อมาแล้วจงใจส่งผิดด้วยการนำเสื้อของสโมสรน็อตต์ส เคาน์ตี้ มาให้ หรือเป็นเพราะ พวกยูเว่ ชื่นชอบเองเมื่อครั้งมาดูโรงงานผลิตตามตำราที่ระบุไว้สองแบบ

สุดท้ายพวกเขาก็ดำรงเสื้อชุดนี้เป็นชุดเหย้ามานานกว่าร้อยปี

ก่อนที่จะมีเละเทะบ้างในยุคหลังเมื่อ มาเฟียอิตาลี ไล่ตีแฟนบอลลิเวอร์พูล ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ ที่กรุงโรม หรือจะเป็นการมาตีถึงแอนฟิลด์ ในเกมรอบรองฯแชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2018

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ แม้ว่าการรุกรานจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เมื่อเราเลือกมองหา และมองเห็นในมุมที่ดี เพราะเหรียญมีสองด้านเสมอ

สุดท้ายแล้ว “อิตาลี” กับ “อังกฤษ” (รวมถึง สกอตแลนด์) ก็มีมุมที่เกี่ยวพันกันมามากมาย

ถึงได้บอกว่า คู่ชิงฯยูโรปีนี้

นี่คือ “โบนัสของแฟนฟุตบอล”

บี แหลมสิงห์