ก่อนเกมการแข่งขัน “โตเกียวเกมส์” จะเริ่มต้นขึ้น
เหรียญรางวัลของทัพนักกีฬาไทย ที่ทำได้ในมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ รวมทั้งสิ้น 31 เหรียญ
แรกเริ่มเดิมที ไทย ส่งแข่งตั้งแต่ “เฮลซิงกิเกมส์” เมื่อปี 1952 จากนั้นเรารอมาเป็นเวลา 24 ปี เหรียญรางวัลแรกก็มาถึงจากมวยสากลสมัครเล่น นั่นคือเหรียญทองแดง ของ พเยาว์
พูนธรัตน์ ในรุ่นไลท์ฟลายเวท
เว้นวรรคไป 1 สมัย ในปี 1980 ทัพไทยไม่ได้ไปแข่งที่มอสโก ด้วยเหตุผลทางการเมืองในยุคนั้น และในทุกๆ ครั้งต่อมา นักกีฬาไทยไม่เคยพลาดเหรียญรางวัลเลย
โดยเฉพาะ“นักกีฬาชาย”ที่ได้เหรียญมาต่อเนื่องทุกสมัย โดยทัพกำปั้นถือเป็น“แม่ทัพแห่งความสำเร็จ”คว้าเหรียญรางวัลมาได้ตลอดกระทั่งพลาดเหรียญไปเมื่อ 5 ปีก่อนที่รีโอเกมส์ ซึ่งเป็นอีกครั้งที่“การตัดสิน”ฉาวที่สุด สุดท้าย “ไอบา” ก็โดนยึดสิทธิ์การดูแล หากว่า มวยยังต้องการมีลมหายใจต่อไปในโอลิมปิกเกมส์
มาในครั้งนี้ ไฟในกระถางคบเพลิงใกล้ที่จะมอดดับลงไป ความหวังของไทยสุดท้ายในการ“ลุ้นเหรียญ”นั่นก็คือ “กอล์ฟหญิง” หากทำได้จะเป็นเหรียญที่ 3 หรือ เหรียญที่ 4 ในครั้งนี้ เพราะ
ตีกันอยู่ 2 ครั้ง
เมื่อเราลงลึกพิจารณาดู ก็จะเห็นชัดเจนว่า 2 เหรียญรางวัลที่ได้ในปีนี้มาจาก พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เหรียญทองจากเทควันโดหญิง และสุดาพร สีสอนดี เหรียญทองแดงมวยสากล
อย่างเป็นทางการก็คือ “นักกีฬาชาย” ในการแข่งขันครั้งนี้“ไม่ได้เหรียญเลย”
นับเป็นครั้งแรก.......ที่ไม่น่าจะบันทึกเอาไว้จริงๆ
ไล่เลียงกันตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นการแข่งขัน ผมเขียนเรื่อง “นารีขี่ม้าขาว” ให้ได้อ่านกัน เนื่องมาจากว่า นักกีฬาไทยครั้งนี้โอกาสอยู่ที่ “นักกีฬาหญิง” มากกว่า
โอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดคงไม่พ้น มวยสากล ของ “สด”ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี ที่โอกาสใกล้เคียงอย่างที่สุดแล้ว กับการได้สู้ถึงรอบ 8 คนสุดท้าย ก่อนจะพ่ายไปแบบไม่เป็นเอกฉันท์ ในมุมที่มองได้ทั้งหมดว่า จะหัวหรือก้อยออกไหนก็ได้
หรือจะเป็น แบดมินตันคู่ผสมไทย มืออันดับ 2 ของโลก“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ ที่จับคู่กันกับ “ปอป้อ”ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ต้องตกรอบก่อนรองชนะเลิศ จากการแพ้ให้กับ ยูตะวาตานาเบ้ กับ อริสะ ฮิกาชิโนะ คู่มือวางอันดับ 5 ของรายการจากญี่ปุ่น 1-2 เกม
ที่เรียกเสียงฮือฮาก็ยังต้องใช้เวลากับ 2 นักกีฬาประเภทลั่นไก นั่นคือ “แซม” เศวต เศรษฐาภรณ์ รุ่นใหญ่เป้าบินวัย 58 ปีและ “กัปตัน” อิสรานุอุดม ภูริหิรัญพัชร์ ยังกันส์ วัย 17 ปี ซึ่งทั้งคู่ประสบการณ์ในโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรก ยังไม่ผ่านการคัดเลือก
ที่น่าเสียดายคงไม่พ้น เหลิม-ธิติสรรค์ ปั้นโหมด นักมวยสากลทีมชาติไทยรุ่นอายุ 52 กิโลกรัมชาย ที่โชคร้ายไม่ได้มาแข่งเพราะบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าฉีกระหว่างการฝึกซ้อม
สุดท้ายเมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้ เมื่อหาย“ควันขโมง”ทีนี้ก็ต้องกลับไป“เคลียร์พื้นที่”และ“ขยับความคิด”กันอีกครั้ง ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่กับ “นักกีฬาชาย” ที่ไร้เหรียญ
หากนับเวลาก็คือ 44 ปีพอดิบพอดี
จะด้วยปัจจัยอะไรหลายๆ อย่าง หรืออะไรก็แล้วแต่ เหตุผลจะต้องนำมาประกอบให้กับแฟนกีฬาได้รับรู้ แล้วจากนั้นจะทำการฝึกซ้อมหรืออะไรต่อจากนี้ เป็นสิ่งที่คนไทยต้องการอยากจะเห็น
นับไปนับมาเหลือเวลาอีก 3 ปี น้อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาแต่ค่อนข้างที่จะกระชับและน่าสนใจกับโปรแกรมแข่งขันต่างๆ ที่ยืนรออยู่ข้างหน้า ที่ท้าทายทั้งขีดความสามารถของนักกีฬา พร้อมกับผู้บริหาร
กับการวาง“มาตรฐาน” การซ้อม การแข่งขัน รวมถึงยุคสมัยที่ต้องวาง “มาตรการ” ในการป้องกันโรคอย่างโควิด ที่กำลังระบาดหนักในบ้านเรา
ก็ได้แต่หวังใจ มาตรฐาน ในการดูแลนักกีฬา
ต้องไม่ล้มเหลวเหมือนมาตรการณ์ป้องกันโควิด...........
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี