การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อค่ำคืนวันอังคารที่ผ่านมา “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แชมป์ 6 สมัย จากอังกฤษ ยังคงระเบิดฟอร์มเล่นนอกบ้านได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการบุกไปหักด่าน “ตราหมี” แอตเลติโก มาดริด ถึงถิ่นว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ สุดสะเด่า 3-2 เก็บชัยชนะ 3 นัดรวดมี 9 คะแนนเต็ม โอกาสเข้ารอบสดใส
“หงส์แดง” บินนำก่อน 2-0 จาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แหวกแนวรับเจ้าถิ่นยิงไปมีแฉลบเสียบตาข่าย นาทีที่ 8 ต่อด้วยการยิงแบบฮาล์ฟวอลเลย์ลูกถนัดของ นาบี เกอิต้า นาทีที่ 13 แต่เจ้าถิ่นไล่ตามตีเสมอได้จาก อองตวน กรีซมันน์ ยิงคนเดียวสองลูก นาทีที่ 20 กับ 34 แต่ในครึ่งหลังผ่านมาได้แค่ 7 นาที กรีซมันน์ โดนไล่ออก เมื่อไปเล่นอันตรายใส่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ด้วยการยกเท้าสูง ทำให้ ลิเวอร์พูล ครองเกมและมาได้ประตูชัยในนาทีที่ 78 จากจังหวะจุดโทษ ก่อนที่ ซาลาห์ จะสังหารไม่พลาด
จบเกมนี้เกิดสถิติใหม่กับสโมสรลิเวอร์พูล อย่างมากมาย ทั้งอายุของทีมที่สตาร์ทเกมนี้ด้วยวัย 29 ปี 130 วัน ถือเป็นอายุเฉลี่ยของลิเวอร์พูลมากที่สุด นับตั้งแต่เดือนกันยายน 1953 โดยเกมนั้น พบ นิวคาสเซิล เฉลี่ยคือ 30 ปี 39 วัน ขณะที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ กลายเป็นผู้เล่นคนที่ 60 ที่ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล 300 นัดในทุกรายการ และเป็นคนที่ 2 ที่มาจากอเมริกาใต้ ต่อจาก ลูคัส เลวา ที่ลงเล่น 346 นัด
น่าสนใจก็คือ สถิติการเล่นนอกบ้านปีนี้ โหดสุด ๆ เมื่อยิงได้ 3 ประตู ในพรีเมียร์ลีก บุกชนะ นอริช นัดเปิดสนาม 3-0, บุกชนะ ลีดส์ 3-0, เสมอ เบรนท์ฟอร์ด 3-3 และเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาบุกไปยิง วัตฟอร์ด 5-0 ในศึกคาราบาว คัพ บุกชนะ นอริช 3-0 และในแชมเปี้ยนส์ลีก ยกพลชนะ ปอร์โต้ 5-1 และชนะ แอต.มาดริด 3-2
ทางด้าน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล ที่ทำประตูได้ 9 นัดติดต่อกัน เริ่มจากนัดเหย้าพรีเมียร์ลีก กับ เชลซี, เยือน ลีดส์, เหย้า มิลาน ในแชมเปี้ยนส์ลีก, ยิง พาเลซ, ยิง เบรนท์ฟอร์ด, ยิง ปอร์โต้ ในแชมเปี้ยนส์ลีก, ยิง แมนฯซิตี้ , ยิง วัตฟอร์ด และยิง แอตเลติโก มาดริด พร้อมกับเป็นดาวซัลโวในบอลยุโรป สูงสุดของสโมสร 31 ประตู จาก 48 นัด แซงหน้า สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไปเรียบร้อยแล้ว
ภายหลังเกมมีประเด็นตรงที่ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ กุนซือแอตเลติโก มาดริด ไม่ยอมจับมือกับ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือลิเวอร์พูล ทำให้ถูกวิจารณ์ในวงกว้างว่า ไม่มีสปิริตเพียงพอ และไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ โดย ซิเมโอเน่ กล่าวว่า ปกติหลังจบเกมที่ผมแพ้ ผมก็จะไม่ค่อยทักทายผู้จัดการทีมอื่นอยู่แล้วนะ มันไม่ได้ส่งผลต่อทั้งผู้ชนะและผู้แพ้หรอก เพราะผมกำลังโกรธอยู่ แต่ผมเคารพในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ถ้าเจอกันคราวหน้าผมก็จะทักทายก่อนนะโดยที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย
“พวกเราไม่ได้เริ่มเกมอย่างที่เราต้องการ เราเล่นได้ดีในครึ่งหลัง แต่ผู้รักษาประตูของพวกเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม และสุดท้ายพวกเขามาได้จุดโทษ ก็แค่นั้น” ซิเมโอเน่ กล่าว
ขณะที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ กล่าวว่า ครั้งหน้าเราจะจับมือกัน คือเห็นได้ชัดว่า ดีเอโก้ กำลังโกรธ กับผลการแข่งขันล้วน ๆ และมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม “ที่จริง ผมหรือจะใครก็ตาม ไม่ชอบอะไรแบบนี้นะ มันไม่ได้ดูดีเลย เพราะผมอยากจับมือกับเขาทันทีที่เกมจบลง มันเป็นหลักสากลที่ทุกคนก็คงเข้าใจ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี