การแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกกลุ่มอี โซนยุโรป เวลา 02.45 น. เจ้าถิ่น “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” เบลเยียมขอ 3 แต้มก็จะการันตีเข้ารอบด้วยการคว้าแชมป์กลุ่ม ด้วยการดวลกับเอสโตเนีย สม้นน้อยของกลุ่ม

เจ้าถิ่นชุดนี้ไม่มี โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ และโธมัส แฟร์มาเล่น สองกองหลังตัวแก่ที่โยกมาเล่นในเอเชีย รุ่นเดียวกันเหลือเพียง แยน แฟร์ตองเก้น แค่รายเดียว ตัวหลักรายอื่นๆ ที่ถอนออกไปคือ ยูรีตีเลมานส์ และโรเมลู ลูกากู ที่บาดเจ็บ ส่วน ดิว็อค โอริกี้ กลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ยังคงยึดระบบการเล่น 3-4-2-1 เหมือนเดิม อัตเซล วิสเซล คุมแดนกลางร่วมกับ ฮานส์ วานาเค่น ส่วนเกมรุกใช้ เควิน เดอ บรอยน์ ประสานงานกับ เอแดน อาซาร์ โดยมี คริสติยง เบนเตเก้ ยืนเป็นหน้าเป้า

ทีมเยือน เอสโตเนีย ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว ผลงานก็ตามสภาพชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 4 เกมนี้ไม่มี มาร์เท่น คูสค์ แนวรับกัปตันทีมที่ติดโทษแบน รวมไปถึง คาร์ล เฮิร์น, มาติอัส ไคท์ และบ็อกดาน วาสท์ซุค ที่มีอาการบาดเจ็บ ที่เหลือพร้อมลงเล่นได้หมด นำโดยจอมทัพตัวเก๋าอย่าง คอนสแตนตินอส วาสซิลิเยฟ ที่จะเป็นตัวปั้นเกมให้กับคู่หัวหอก เฮนรี่ อนิเย่ร์ และเราโน่ แซปปิเน่น

สถิติการพบกันของทั้งสอง 5 ครั้งหลังสุด ไม่เคยจบลงด้วยผลเสมอ เบลเยียม เอาชนะได้ 4 และเอสโตเนีย ชนะ 1 ครั้งในการคัดบอลโลก 2010

11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม เบลเยียม (3-4-2-1):ตีโบต์ กูร์กตัวส์, เจสัน เดนาเยอร์, เดดริค โบยาต้า, แยน แฟร์ตองเก้น,อเล็กซิส ซาเลแมร์เกอร์, อักเซล วิตเซล, ฮานส์ วานาเค่น, ยานนิคการ์ราสโก้, เควิน เดอ บรอยน์, เอแดน อาซาร์ และคริสติยงเบนเตเก้

เอสโตเนีย (3-5-2): มัตไวย์ อีโกเน่น, มักซิม พาสค็อตซี่,คาโรล เมิร์ตส, โยนาส ทามม์, ไตโจ เตนิสเต้, วลาดิสลาฟ เครอีด้า, คอนสแตนตินอส วาสซิลิเยฟ, มาร์คุส พูม, อาร์เธอร์ พีคค์, เฮนรี่ อนิเย่ร์ และเราโน่ แซปปิเน่น

ขณะที่ รอบคัดเลือกกลุ่มจี เนเธอร์แลนด์ จะบุกไปเยือน มอนเตเนโกร เวลา 02.45 น. เจ้าถิ่น มอนเตเนโกร ยังไม่ตกรอบซะทีเดียวเพราะตามทฤษฎีพวกเขายังมีลุ้นอันดับสองเพื่อไปเพลย์ออฟ แต่ต้องชนะหมดใน 2 เกมที่เหลือ เกมนี้ไม่มี มาร์โก เวโซวิชแบ๊กขวาที่ติดโทษแบนจากการโดนใบแดงเมื่อเดือนที่แล้ว นอกนั้นขุมกำลังชุดที่ดีที่สุดถือว่าอยู่กันครบ มาในระบบ 4-4-2 แกนหลักนำโดย อดัม มารูซิซ ตัวริมเส้นจาก ลาซิโอ้ รวมไปถึง สเตฟาน ซาวิซ แนวรับมากประสบการณ์จากแอตเลติโก้ มาดริด ส่วนเกมรุกฝากความหวังเอาไว้ที่ สเตฟาน โยเวติช

ฟากฝั่งทีมเยือน “อัศวินสีส้ม” เนเธอร์แลนด์ ยังไม่การันตีแชมป์กลุ่ม 100 เปอร์เซ็นต์ แม้เกมนี้จะเก็บ 3 แต้มก็ตาม เพราะต้องลุ้นกับคู่แข่งโดยตรงอย่าง นอร์เวย์ และตุรกี ที่เหลือโปรแกรม 2 นัดเท่ากัน ชุดนี้ไม่มี ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค, สตีเว่น เบิร์กฮุย, ลุค เดอ ยองก์ และโคดี้ กั๊คโป แต่แกนหลักรายอื่นๆ ถูกเรียกเข้ามาติดทีมกันครบ ใช้ระบบ 4-3-3 สเตฟาน เดอ ไฟร์จ คุมแนวรับร่วมกับ เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค ส่วนแดนกลางมี แฟร้งกี้ เดอ ยองก์ เป็นตัวคุมจังหวะเกมร่วมกับ ดาวี่ คลาสเซ่น และจอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุมสามประสานในแนวรุกเลือก โนอา ลังก์ เล่นกับ เมมฟิส เดปาย และอาร์เน้าท์ ดานจูม่า

สถิติการพบกันของทั้งสองทีม เจอกันครั้งเดียวในรายการนี้นัดแรก เนเธอร์แลนด์ เปิดบ้านถล่ม 4-0 โดย 11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม มอนเตเนโกร (4-4-2): มิลาน มิยาโตวิช, อดัมมารูซิซ, สเตฟาน ซาวิซ, ซาร์โก้ โทมาเซวิช, ริสโต้ ราดูโนวิช, วลาดิเมียร์ โยโววิช, มาร์โก แยนโควิช, เนบอยช่า โคโซวิซ, เซอัด ฮัคซาบาโนวิช, อูรอส ยูร์เยวิช และสเตฟาน โยเวติช

เนเธอร์แลนด์ (4-3-3): จัสติน บิจ์โลว์, แดนเซล ดุมฟรีย์ส,สเตฟาน เดอ ไฟร์จ, เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค, ดาลีย์ บลินด์,ดาวี่ คลาสเซ่น, แฟร้งกี้ เดอ ยองก์, จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม, โนอา ลังก์, เมมฟิส เดปาย และอาร์เน้าท์ ดานจูม่า

ทางด้านโซนเอเชีย ญี่ปุ่น คืนชีพมีลุ้นเข้ารอบแบบอัตโนมัติ หลังจากบุกไปเอาชนะ เวียดนาม ได้ถึงหมีดิ่งห์ สเตเดี้ยม 1-0 โดยได้ประตูชัยจาก จุนยะ อิโตะ ดาวเตะจากเกงค์ ในเบลเยียม

“ซามูไร บลูส์” ส่งแข้งชั้นนำลงเล่นมากมายทั้งตัวเก๋าอย่าง มายะ โยชิดะ กับ ยูโตะ นากาโตโมะ พร้อมด้วยนักเตะที่ค้าแข้งในยุโรปทั้ง ทาคูมิ มินามิโนะ จากลิเวอร์พูล, ทาเคฮิโระ โตมิยาสึ จากอาร์เซนอล, 2 แข้งจากเยอรมนี วาตารุ เอนโดะ จากสตุ๊ตการ์ท กับ เอโอะ ทานากะ จากดุสเซลดอร์ฟ และฮิเดมาสะ โมริตะ จากซานต้า คลาร่า ในโปรตุเกส

จากชัยชนะนัดนี้ ยังผลให้ ญี่ปุ่น ทำแต้มเป็น 9 แต้ม จาก 5 นัด ขึ้นมารั้งอันดับ 3 หลังจาก โอมาน ทำได้แค่ไล่ตีเสมอ จีน 1-1 แถมคู่ชิงแชมป์กลุ่มก็ดึงคะแนนกันเอง เมื่อ ออสเตรเลีย เสมอกับ ซาอุดีอาระเบีย 0-0 ที่ซิดนีย์

สรุปคะแนนตอนนี้ ซาอุฯ มี 13 แต้ม, ออสเตรเลีย 10 แต้ม, ญี่่่ปุ่น 9 แต้ม, โอมาน 7 แต้ม, จีน 4 แต้ม และเวียดนาม ไม่มีแต้ม

สำหรับโปรแกรมถัดไป ในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ ถือว่าสำคัญสุดๆ อีกเช่นกัน เพราะ ญี่ปุ่น จะไปเยือน โอมาน, ซาอุดีอาระเบีย เฝ้าบ้านพบ เวียดนาม และออสเตรเลีย พบกับ จีน

ส่วนการเตะกลุ่ม เอ เกาหลีใต้ ชนะ ยูเออี 1-0, อิรัก เสมอ ซีเรีย 1-1, เลบานอน แพ้ อิหร่าน 1-2 ทำให้ความชัดเจนเริ่มมากขึ้นในการเข้ารอบอัตโนมัติ คือ อิหร่าน 5 นัด 13 แต้ม และเกาหลีใต้ 11 แต้ม ที่เหลือต้องมาบี้กันต่อเพื่อลุ้นพื้นที่เพลย์ออฟ นั่นคือ เลบานอน 5 แต้ม, อิรัก 4 แต้ม, ยูเออี 3 แต้ม และ ซีเรีย 2 แต้ม ส่วนโปรแกรมหน้า อิหร่าน พบ อิรัก, เลบานอน พบ เกาหลีใต้ และยูเออี พบ ซีเรีย

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก ทุกโซน มีดังนี้

l โซนยุโรป

กลุ่ม เอ

อาร์เซอร์ไบจาน แพ้ ลักเซมเบิร์ก 1-3, ไอร์แลนด์ เสมอ โปรตุเกส 0-0

กลุ่ม บี

จอร์เจีย ชนะ สวีเดน 2-0, กรีซ แพ้ สเปน 0-1

กลุ่ม เอช

รัสเซีย ชนะ ไซปรัส 6-0, มอลตา แพ้ โครเอเชีย 1-7 และสโลวาเกีย เสมอ สโลวีเนีย 2-2

กลุ่ม เจ

อาร์เมเนีย แพ้ นอร์ธ มาซิโดเนีย 0-5 , เยอรมนี ชนะ ลิกเตนสไตน์ 9-0 และโรมาเนีย เสมอ ไอซ์แลนด์ 0-0

l โซนเอเชีย

กลุ่ม เอ

เกาหลีใต้ ชนะ ยูเออี 1-0, อิรัก เสมอ ซีเรีย 1-1, เลบานอน แพ้ อิหร่าน 1-2

กลุ่ม บี

ออสเตรเลีย เสมอ ซาอุดีอาระเบีย 0-0, เวียดนาม แพ้ ญี่ปุ่น 0-1, จีน เสมอ โอมาน 1-1

l โซนแอฟริกา

กลุ่ม อี อูกานาดา เสมอ เคนยา 1-1, ราวันด้า แพ้ มาลี 0-3

กลุ่ม จี เซาท์ แอฟริกา ชนะ ซิมบับเว 1-0, เอธิโอเปีย เสมอ กานา 1-1

กลุ่ม เอช โตโก เสมอ เซเนกัล 1-1, คองโก เสมอนามิเบีย 1-1

กลุ่ม เจ แทนซาเนีย แพ้ ดีอาร์ คองโก 0-3, เบนิน ชนะ มาดากัสการ์ 2-0

l โซนอเมริกาใต้

เอกวาดอร์ ชนะ เวเนซุเอลา 1-0, ปารากวัย แพ้ชิลี 0-1, บราซิล ชนะ โคลอมเบีย 1-0 และเปรู ชนะ โบลิเวีย 3-0