น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 0-1 ลิเวอร์พูลเอฟเอคัพ รอบ 6

การเจอกันครั้งแรกในรอบ 23 ปี มีการจัดให้ 97 ที่นั่งว่างในซิตี้ กราวด์เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่เสียชีวิตจากฮิลส์โบโร่ปี 1989 คือความคลาสสิก

ท่ามกลางเกมอึดอัดอย่างมากในนัดนี้

ในการเตะที่ยากลำบากอีกครั้งของถ้วยนี้ ครองบอลของลิเวอร์พูลการเข้าพื้นที่สุดท้ายได้ยากและความแม่นในการโจมตีไม่ค่อยมี

ฟอเรสต์ เล่นรอจังหวะอย่างอดทน มีระบบ ไม่มีอะไรจะเสีย บวกกับความมั่นใจยุค แกรี่ คูเปอร์

ในเกมเอฟเอ คัพ “สิงห์สั่งป่า” ได้เล่นในบ้านมาตลอด 3 รอบ ชนะ อาร์เซนอล 1-0, ชนะ เลสเตอร์ 4-1 และชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ 2-1 ส่วน ลีกคัพ ตกรอบแพ้ วูล์ฟส์ 0-4 ตอนนั้น ฮิวจ์ตัน ยังทำทีม ทำให้เขาคุมทีมไปแล้ว 31 นัด ชนะ 18 เสมอ 9 แพ้ 4 ทำให้ ฟอเรสต์อยู่อันดับที่ 8 มี 58 แต้ม ตามหลังโซนเพลย์ออฟคะแนนเดียวไปลุ้นขึ้นชั้นเดิมพัน 180 ล้านปอนด์กันต่อไป

ขณะที่ประตูชัยของ ดีโอโก้ โชต้า แกนรุกทีมชาติโปรตุเกสเกิดขึ้นในนาทีที่ 79 นำชัยแบบตื่นเต้น หลังจากโอกาสแรกของฟอเรสต์เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแค่ 3 นาที แต่ ฟิลิป ซินเคอร์นาเกิ้ล ได้ซัดโล่งๆ แต่ยิงออกเหลือเชื่อ

แล้ว VAR ก็เป็นส่วนหนึ่งในมุมมองที่มนุษย์เข้าไม่ถึงอีกที เพราะตาเปล่าคือ เหลื่อมล้ำหน้า

แต่การได้ประโยชน์นานๆ ที่มีเหมือนกัน เมื่อมุมที่ดีที่สุดสำหรับเทคโนโลยี และให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด กลายเป็น “ประตูสำคัญ”

ลูกเปิดของ คอนสแตนตินอส ซิมิกาส จะเห็นว่าเหมือน โชต้าล้ำหน้าโดยไม่เห็นเส้นสัมผัส แต่พออีกมุมกลายเป็นความชัดเจนหน้าตาเฉย

การตีเส้นหนนี้ชัดเลยว่า ดวงตาของมนุษย์เราไม่สามารถสร้างมุมมองแบบนี้ได้!!!

ทำให้ ดิโอโก้ โชต้า ทำไปแล้ว 19 ประตู ให้ลิเวอร์พูลในทุกรายการในฤดูกาลนี้ ด้วยเท้าขวา 7 เท้าซ้าย 7 และโหม่งอีก 5

ไม่ใช่เกมที่ดี แต่ชนะได้ แน่นอนว่า “ผลลัพธ์” คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ ลิเวอร์พูล ชนะเกมเยือนทั้ง 7 เกมหลังสุด

แนบไปด้วยว่า ชนะเกมเยือน 5 นัดติดต่อกัน และเก็บคลีนชีตได้ทั้ง 5 เกมเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ โดยครั้งแรกทำได้เมื่อปี 1985

พร้อมยุติสถิติ 12 เกม ที่มาเยือนหลังสุด ลิเวอร์พูล ที่ไม่เคยชนะเลยลงได้สำเร็จ ตั้งแต่ดิวิชั่น 1 ปี 1984 สกอร์ 2-0 จาก
รอนนี่ วีแลน และ เอียน รัช

การเข้ารอบหนนี้ ทำให้เกมพรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล กับ แอสตัน วิลล่า ซึ่งเดิมกำหนดไว้สำหรับวันที่ 16 เมษายนนี้ เลื่อนออกไป เนื่องจากชน เอฟเอ คัพ

โปรแกรมวุ่นวายจนถึงปลายซีซั่น สับกันทั้งโควิดช่วงปลายปีก่อน และการเข้ารอบลึกของบอลถ้วย

ที่ไม่เคยปรากฏกับทีมมาตั้งแต่ปี 2001 และเข้าตัดเอฟเอคัพหนแรกรอบ 7 ปี ตั้งแต่ยุคที่มี สตีเว่น เจอร์ราร์ด นำคณะ ปี 2015 ล่าแชมป์ถ้วยนี้แบบจริงจังหนแรกยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ นับตั้งแต่มารับงานปลายปี 2015 และลิเวอร์พูลเอง ก็ไม่ได้แชมป์รายการนี้มาตั้งแต่ปี 2006

ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ลุ้น 4 แชมป์ อยู่ต่อไปทุกอย่างมีที่ไปที่มา แต่ถามว่าโอกาสมันยากขนาดไหนนั่นคือยากถึงยากอย่างที่สุด

ตอนนี้ได้มาแล้วคือ คาราบาวคัพ คือ แชมป์ที่ลดความกดดัน ถ้วยเล็กสุดแต่ความหมายคือดี

เอฟเอ คัพ คือ เกียรติยศความภูมิใจ, พรีเมียร์ลีก คือ เกียรติยศความยิ่งใหญ่ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คือ เกียรติยศแห่งการประกาศศักดา

ลิเวอร์พูล จะดวลกับ แมนฯซิตี้ ซึ่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ระบุ การเข้ารอบฟุตบอลถ้วยยิ่งลึกเข้าไปก็ไม่แปลกที่จะต้องเจอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะเป็นทีมระดับที่ดี เป็นทีมที่ยอดเยี่ยม ยังไงก็ต้องเจอกัน

เมื่อเหลือบไปมองโปรแกรมของลิเวอร์พูลในเดือนเมษายนนั้น จัดได้ว่า “บ้ามาก”

2 เมษายน : วัตฟอร์ด (เหย้า) พรีเมียร์ลีก

5 เมษายน : เบนฟิก้า (เยือน) แชมเปี้ยนส์ลีก

10 เมษายน : แมนฯ ซิตี้ (เยือน) พรีเมียร์ลีก

13 เมษายน : เบนฟิก้า (เหย้า) แชมเปี้ยนส์ลีก

16 เมษายน : แมนฯ ซิตี้ (เวมบลีย์) เอฟเอ คัพ

19 เมษายน : แมนฯ ยูไนเต็ด (เหย้า) พรีเมียร์ลีก

24 เมษายน : เอฟเวอร์ตัน (เหย้า) พรีเมียร์ลีก

30 เมษายน : นิวคาสเซิ่ล (เยือน) พรีเมียร์ลีก

เมษาท้าทุกสิ่งอย่างจริงๆ

เวลานี้รอการไปเตะทีมชาติของนักเตะ ซึ่งมีหลายต่อหลายที่จะต้อง “ใส่ให้สุด” เพราะโควตาฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย สำหรับนักบอลอาชีพมันคือ “ในฝัน” ของทุกผู้อยู่แล้ว

ซีซั่นนี้สำหรับ ลิเวอร์พูล นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ส่วนจะประสบความสำเร็จเพิ่มเติมมากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องของทุกสิ่ง นั่นก็คือ ฝีเท้า, วาสนา และโชคชะตา

อยู่ที่ว่า ใครคนไหน ต้องการอะไรมากกว่ากัน บางคนบอกเพิ่มอีกถ้วยก็พอ บางคนบอกเหมาแชมป์ในประเทศ บางคนบอกเอาอันโน้นอยากได้อันนี้ ประดามีกันไป...ไม่ต้องเถียงกัน

แต่การได้ลุ้นทุกถ้วยจนเข้าถึงเดือนเมษายน ถือว่า คุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้ว!!!

บี  แหลมสิงห์