นัดปิดฤดูกาล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2021-22น่าจะเป็นเกมปิดซีซั่นที่ระทึกขวัญที่สุดอีกครั้งก็ว่าได้
เพราะมีอะไรให้ไขว่คว้ากันอย่างมากมาย ทั้งการดิ้นรนหนีตกชั้น ก่อนที่ลีดส์ จะเอาตัวรอดได้สำเร็จ ด้วยการหักด่านเบรนท์ฟอร์ด ถึงถิ่น ผิดกับ เบิร์นลี่ย์ ที่พลาดมหันต์คารังตัวเอง ทำให้ต้องตกชั้นตามวัตฟอร์ด กับ นอริช ไปเล่นเดอะ แชมเปี้ยนชิพหลังจากอยู่ในลีกสูงสุดมาได้ถึง 6 ซีซั่น
ขณะที่การลุ้นโควตาแชมเปี้ยนส์ลีก ไม่พลิกโผหลังจาก สเปอร์ส บุกไปยำ นอริชกระจุย 5-0 ทำให้ อาร์เซนอล แม้จะทุบเอฟเวอร์ตัน เละ 5-1 แต่คะแนนไม่พอทำให้ต้องไปยูโรป้า กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ปิดซีซั่นที่ไม่น่าจำด้วยการบุกไปแพ้ พาเลซ 0-1
ยังดีที่ เวสต์แฮม ไปยางแตกที่บ้านของไบรท์ตัน 1-3 ทำให้ “ขุนค้อน”ที่สองสัปดาห์ก่อนมีลุ้นการไปแชมเปี้ยนส์ลีกในฐานะแชมป์ยูโรป้า แต่สุดท้ายได้ไปคอนเฟอเรนซ์
ขณะที่การลุ้นแชมป์ที่แอนฟิลด์ และเอติฮัด สเตเดี้ยม กลายเป็น “ตำนาน” อีกครั้งของวงการฟุตบอล เมื่อมีการเฉือนเข้าป้ายเป็นแชมป์ด้วยความแตกต่างเพียงแค่“คะแนนเดียว” อีกครั้ง เหมือนกับปี 2018-19
บทจบผลลัพธ์ออกมาเหมือนเดิมคือ ซิตี้ เป็นแชมป์
ผมอยู่ที่แอนฟิลด์ นั่งลุ้นเกมอยู่ที่ฝั่งแอนฟิลด์ โรด อัฒจันทร์ที่กำลังก่อสร้างใหม่ เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาของสโมสรเพื่อให้ก้าวต่อไปยังอนาคตข้างหน้า เพราะความจุมีมากเท่าไหร่ ก็มีคนเข้าไปมากเท่านั้น
แอนฟิลด์ เปลี่ยนไปใหญ่โตขึ้นทุกวัน ความทันสมัย ความสะอาดสะอ้าน มีหลายสิ่งอย่างครบครัน ขานรับการเติบโตต่อเนื่องของทีมจากผลงานในสนาม
เจอร์เก้น คล็อปป์ นำทัพได้มาแล้ว 2 แชมป์บอลถ้วย ถือเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ทีมที่ทำได้เหมือนกับปี 2001 แม้จะไม่สามารถถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกแต่ไม่มีใครกล้าจะไปต่อว่าเขาแม้แต่น้อย
ภายในวงเล็บคนที่ดูบอลเป็นเท่านั้น
ฟุตบอลไม่ใช่เรื่องสันทนาการมันคือชีวิต การต่อกรนาทีต่อนาทีของนักเตะ การลุ้นจากแฟนบอลที่กัดเล็บตั้งแต่ต้นเกม, ก้มดูนาฬิกาเช็คเวลา, เปิดสมาร์ทโฟนเช็คผลอีกฝั่ง หรือกระทั่งการช่วยกันให้กำลังใจ พร้อมกับกดดันคู่แข่ง
แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โหดมาก และนรกแตกสำหรับทีมเยือน
แต่ในทางกลับกัน นักเตะของทีมตัวเองต้องเจอกับสถานการณ์กดดันเพราะการที่ลงสนามแล้ว “ต้องชนะ” มันไม่มีประตูไหนออกไปได้ นอกจากประตูเดียวนี้เชื่อว่าเหมือนกันกับที่ เอติฮัด สเตเดี้ยมที่นักเตะของแมนฯซิตี้ คงจะกดดันไม่แพ้ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์
ทั้งสองทีมลุ้นแชมป์ต่างถูกยิงประตูออกนำไปก่อน ทำให้เสียงในแอนฟิลด์กองเชียร์เฮกันระเบิดเถิดเทิงทั้งที่ทีมยังเป็นฝ่ายตามหลัง วูล์ฟส์
ยิ่งดังเข้าไปอีกเมื่อแฟนบอลสื่อสารกันผ่านทางเสียงว่า วิลล่า นำ 2-0 ซึ่งในตอนนั้นสกอร์ที่แอนฟิลด์คือ 1-1นั่นหมายว่า ประตูเดียวทำได้ ลิเวอร์พูลจะเป็นแชมป์
อย่างไรก็ตาม แมนฯซิตี้ ที่ตื่นจากภวังค์ พวกเขารัว 3 เม็ดติดได้ก่อนที่ ลิเวอร์พูลจะพลิกนำ วูล์ฟส์ 2-1 ด้วยซ้ำ ภาพที่ปรากฏตอนหลังจาก โม ซาลาห์ ซัดให้ ลิเวอร์พูลนำ 2-1 แต่แฟนบอลให้สัญญาณมาว่า แมนฯซิตี้ นำ วิลล่า 3-2 ไปแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นไม่นานมีเสียงเฮดังกระหึ่มแอนฟิลด์ โดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกคนใจจดจ่อกับการเช็คผล ส่วนผมหันไปถามคนรอบๆ ตัว 3-4 คนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะนึกว่าสกอร์ที่เอติฮัด จะเสมอกัน 3-3 สุดท้ายกลายเป็น“เสียงหลอก” ทำให้ “หลงเหลี่ยม”
เช็คตอนหลังอีกครั้งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย และไม่รู้ว่าต้นเสียงที่หลอกคนทั้งแอนฟิลด์คือใคร
แต่นั่นเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นที่สุด และทำให้อะดรีนารีนพุ่งพล่านอย่างที่สุดของแท้
ผลลัพธ์จบลง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ชนะ แอสตัน วิลล่า 3-2 ครองแชมป์ ปล่อยให้ลิเวอร์พูล ที่อุตส่าห์กด วูล์ฟส์ 3-1 ต้องจบด้วยการเป็นอันดับ 2 ที่ได้คะแนนเกิน 90 แต้ม ทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้แชมป์ ซึ่งทีมแรก ที่ทำได้ก็ไม่ใช่ใคร
นั่นคือ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2019
อย่างไรก็ตาม การนำถ้วยแชมป์เอฟเอ คัพ กับ ลีกคัพ ออกมาอวดแฟนบอลหลังจบเกมในช่วงที่นักเตะและทีมงานเดินรอบสนามขอบคุณแฟนบอลตามธรรมเนียมนัดส่งท้ายซีซั่น เรียกเสียงเชียร์ได้กระหึ่มลบความ “เสียดาย” กันได้พอสมควร
บอลแบบนี้ เล่นได้ใจแบบนี้ มีสไตล์แบบนี้ เรื่อง“เสียใจ” ถือว่าน้อยถึงน้อยมากๆ
มีแต่ “เสียดาย” มากกว่า
ไม่มีซีซั่นไหนที่ ลิเวอร์พูล เล่นได้ “ขนาดนี้” มาก่อน แต่ถึงแม้ “ผลลัพธ์” อาจจะทำให้เสียดาย แต่สิ่งที่หลายทีมตกใจก็คือ “วิธีการ” ของ คล็อปป์ ที่ใครก็ยากที่จะรับมือ
เหมือนกับที่มีการเปรียบเทียบว่า จากยุคบิ๊กโฟร์ มาสู่ยุคบิ๊กซิกซ์ ทำไปทำมาตอนนี้อาจจะมีเป็น “บิ๊กทู” หรือไม่ นั่นคือ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล
เป๊ป vs คล็อปป์
สองคนนี้ปรุงทีมได้ไม่ธรรมดาและน่าจะต้องสู้กันต่อไปอีกหลายปี
พรีเมียร์ลีกปีนี้จบลงอย่างดุเดือดถือเป็นปีที่ดูฟุตบอลกันอย่างสนุกสุดๆ เกือบจะทุกเกม แต่ว่าลูกหนังยังเดินทางต่อไป
โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ที่จะต้องไปชิงชัยแชมป์ยุโรป กับ เรอัล มาดริด ที่แซงต์ เดนีส์ ปารีส วันเสาร์ที่จะถึงนี้
คืออีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของฤดูกาล มาดูกันว่า ซีซั่นสุดระห่ำของ คล็อปป์ ทีมจะจบลงด้วยอะไร
สองถ้วยในประเทศที่ยิ่งใหญ่
หรือจะมีกำไรแถมท้ายจากการเป็นเจ้ายุโรป
พรีเมียร์ลีก คือยิ่งใหญ่
เอฟเอ คัพ คือ ความภาคภูมิใจ
ลีกคัพ คือ กำลังใจ
ส่วน แชมเปี้ยนส์ลีก คือ การประกาศศักดา
บี แหลมสิงห์ รายงานจากอังกฤษ
บทสรุปพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2021-22
แชมป์ : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 38 เกม ชนะ 29 เสมอ 6 แพ้ 3 มี 93 คะแนน
รองแชมป์ : ลิเวอร์พูล 38 เกม ชนะ 28 เสมอ 8 แพ้ 2 มี 92 คะแนน โควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : แมนฯซิตี้, ลิเวอร์พูล, เชลซี และสเปอร์ส
โควตายูโรป้า ลีก : อาร์เซนอล และแมนฯยูไนเต็ด
โควตายูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก : เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ตกชั้น : เบิร์นลี่ย์, วัตฟอร์ด และนอริช ซิตี้
เลื่อนชั้น : ฟูแล่ม, บอร์นมัธ และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ หรือฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์
ผู้เล่นยอดเยี่ยม : เควิน เดอ บรอยน์ (แมนฯซิตี้) 15 ประตู 8 แอสซิสต์จากการลงเล่น 30 เกม
ผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยม : ฟิล โฟเด้น (แมนฯซิตี้) 9 ประตู 5 แอสซิสต์จากการลงเล่น 28 เกม
รองเท้าทองคำ (ดาวซัลโว) : โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล) และ ซน ฮึง มิน (สเปอร์ส) 23 ประตู
จอมแอสซิสต์ : โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล) 13 ครั้ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี