แฟนบอล “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับคงจะเกิดอาการเด้งไปเด้งมาทางอารมณ์ไม่น้อย ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

กลางสัปดาห์คึกคักเมื่อทีมเปิดตัว ดาร์วิน นูเญซ เรียกเสียงฮือฮากับนักบอลหนุ่มตัวใหม่ค่าตัว 64 ล้านปอนด์ และมีโอกาสจะทะยานเป็น “สถิติใหม่สโมสร” ในอนาคตข้างหน้า

แต่มาถึงสุดสัปดาห์ อาการเหงาๆ กลับมาเคาะประตูบ้านอีกครั้ง เมื่อ ได้ตกลงเซ็นสัญญามูลค่า 41 ล้านยูโร หรือ 35.1 ล้านปอนด์ เพื่อขายซาดิโอ มาเน่ ให้กับ “เสือใต้”บาเยิร์น มิวนิค แชมป์บุนเดสลีกา เยอรมนี หลังจากเจรจากันไม่ลงตัวมา 2 ครั้งก่อนหน้า

“หงส์แดง” จะได้รับเงิน 32 ล้านยูโร หรือ 27.4 ล้านปอนด์เข้าคลังก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต นั่นคือ 6 ล้านยูโร ตามจำนวนนัดที่ลงสนาม และ3 ล้านยูโร ตามความสำเร็จส่วนตัวและสโมสร

มาเน่ ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 31 ล้านปอนด์บวกกับแอด-ออนส์อีก 2.5 ล้านปอนด์ จากเซาแธมป์ตันในปี 2016 นับแต่นั้นมา มาเน่ ยิง 90 ประตู ในพรีเมียร์ลีกให้กับสโมสรแอนฟิลด์และจบฤดูกาลที่แล้วด้วย 23 ประตู ในทุกการแข่งขัน

ทุกอย่างชัดเจนหลังจาก “การสวนทาง” ย่อมเกิดขึ้นจากดีลของ ดาร์วิน นูเญซ เท่ากับเป็นการปิดตำนานแนวรุก“หิน เหล็ก ไฟ” ซาลาห์-มาเน่-ฟีร์มิโน่ อย่างเป็นทางการ

ทั้งสามคนช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกในปี 2019 และสิ้นสุดการรอคอยตำแหน่งแชมป์ลีกเป็นเวลา 30 ปีในฤดูกาลถัดมา คือการจารึกชื่อของทั้งหมดไว้บนหิ้งตำนานของแอนฟิลด์

โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ : 327 นัด 98 ประตู 74 แอสซิสต์

ซาดิโอ มาเน่ : 269 นัด 120 ประตู 48 แอสซิสต์

โม ซาลาห์ : 254 นัด 156 ประตู 63 แอสซิสต์

จากจุดกำเนิดแรกในช่วงซัมเมอร์ 2017 หลังจากการมาของ โม ซาลาห์ ทุกอย่างจะเป็น “4 เต่าทอง” หรือ “FAB 4”เพราะทีมจะมี คูตินโญ่, มาเน่, ฟีร์มิโน่ และซาลาห์

แต่วงแตกแค่ 5 เดือนจากนั้น หลังจากการประกาศขอย้ายทีมแบบฟ้าผ่าของ คูตินโญ่ ก่อนเปิดฤดูกาล 2017-18 ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก่อนเตะที่วิคาเรจ โรด

สุดท้าย เจอร์เก้น คล็อปป์ เลือกใช้ 3 ประสานนี้ และสตาร์ทตัวจริงร่วมกัน 137 เกม

อย่างน้อย 1 ใน 3 คนนั้น ยิงได้รวม 104 เกม

พวกเขาทำประตูรวม 193 ประตู 74 แอสซิสต์ และมีทั้งหมด 15 นัด ที่ผู้เล่นทั้ง 3 คน ทำประตูได้พร้อมกันในนัดเดียว

มาเน่ กับ ซาลาห์ ที่ดูเหมือนไม่ค่อยจะเข้ากัน แต่กลับทำสถิติร่วมการส่งบอลให้กันเพื่อสกอร์ได้ถึง 46 ประตู ในทุกรายการ มากที่สุดเป็นอันดับที่สองของสโมสร เป็นรองแค่ เอียน เซนต์จอห์น และโรเจอร์ ฮันท์ ตำนานทีมยุค 60 เพียงแค่ 2 ลูก เท่านั้น

สำหรับ มาเน่ ถือว่าเป็นนักบอลคนแรกๆ ในยุคของ คล็อปป์ หลังจากตลาดหน้าหนาว คือ มาร์โก้ กรูยิช และ มาเน่มาเปิดตัวพร้อมกับ โฌแอล มาติป และลอริส คาริอุส

สไตล์ของ มาเน่ ไม่เหมือนคนอื่น และเขาทุ่มเท 100% ในทุกเกมเสมอ เขาช่วยให้ทีมมีวันที่ดีที่สุด เขาจะออกจากทีมในฐานะตำนานลิเวอร์พูลอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ และจะถูกจดจำในฐานะผู้เล่นจอมทุ่มเท, ผู้เล่นที่ยืนตรงไหนทีมก็ได้ประโยชน์, ผู้ทำประตูที่ยอดเยี่ยม, นักเตะในทีมที่ยอดเยี่ยม และยังเป็นผู้เล่นที่ทำงานในจังหวะที่ไม่มีบอลอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

นอกจากความสามารถด้านฟุตบอลของเขาแล้ว ซาดิโอ มาเน่ ยังเป็นมนุษย์ที่น่าทึ่งอีกด้วย สร้างโรงเรียนโรงพยาบาล ปรับปรุงสนามให้ทันสมัย ช่วยเชื่อมต่ออินเตอร์เนตในประเทศเซเนกัลบ้านเกิดของเขา

สร้างโรงเรียนมูลค่า 9.7 ล้านบาท, สร้างโรงพยาบาล มูลค่า 19 ล้านบาท, ให้เงินค่าอาหารครอบครัวต่างๆ ในหมู่บ้านที่เขาเกิดหลังละ 2,600 บาท/เดือน, มอบเสื้อผ้าฟรีให้กับเด็ก, ติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารอินเตอร์เนตให้เข้าถึงหมู่บ้านของเขาด้วยเครือข่าย 4G ด้วยความร่วมมือกับ Orange, เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เพิ่งสร้างปั๊มน้ำมันผ่าน Oryx Senegal

ลิเวอร์พูลไม่เคยแพ้เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ ทำประตูให้พวกเขาที่แอนฟิลด์ในทุกรายการ 56 เกม ชนะ 52 เสมอ 4 มีเพียงเควิน คีแกน เท่านั้นที่ทำได้เหนือกว่าเขาคือ 64 เกม ที่แอนฟิลด์

ลิเวอร์พูลกำลังสูญเสียผู้เล่นที่มีความเสียสละที่สุดคนหนึ่งตลอดกาล ไม่มีผู้เล่นคนไหนเหมือนเขา

การได้แชมป์ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา นี่คือการเดินทางที่สมบูรณ์แบบของผู้เล่นคนหนึ่งที่จะทำได้แล้ว

อาจถึงเวลาที่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะ 6 ปี นานเกินไปความท้าทายของนักฟุตบอล,ความท้าทายของ คล็อปป์เอง และความท้าทายของสโมสรในปัจจุบันที่ต้องเดินหน้าต่อไป

นี่คือการเข้ายุคใหม่ เป็นยุคที่สองของคล็อปป์ อย่างแท้จริงเพราะเขาเป็นคนซื้อมาเนเข้ามาเพื่อสร้างทีมยุคแรกของเขา

อีกประเด็นที่ถูกหยิบยกก็คือ เขา(อาจจะ) ได้รับค่าจ้างต่ำเกินไป ถูกประเมินค่าต่ำเกินไป และประเมินค่าที่ต่ำเกินไป จากทีมบริหารอย่าง FSG ที่ไม่ปฏิบัติตัวต่อผู้เล่นดาวเด่นอย่างถูกต้อง หรือถูกวิธีนัก

บางทีอยู่ด้วยกันมากไป อาจจะหลงลืมตัวตนคนของเราไปอย่างคาดไม่ถึง

จริงอยู่ที่หลายคนจะร้องแลกแหกกระเชิงในธีม“สโมสรใหญ่กว่าผู้เล่น” แต่กรณี มาเน่ มันคนละอย่างกับกรณีของซาลาห์

เอเย่นต์ของ มาเน่ เยือกเย็นพอที่จะกล่าวว่าสโมสรวางแผนฉลองแชมป์แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ให้กับ มาเน่ แต่เจ้าตัวเลือกที่จะปฏิเสธ และเป็นการตัดสินใจของมาเน่ แบบ 100% ที่ไม่ต้องการฉลอง เนื่องจากมาเน่ต้องการโฟกัสกับช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาล

ซึ่งเหตุผลที่ “มากกว่านั้น” มันมีแบบไม่ต้องอธิบายก็คงจะทราบดี และรู้ได้

นี่คือ มาเน่ นักบอลที่เงียบที่สุด เจียมตัวที่สุด แต่ผลงานชัดเจนที่สุดคนหนึ่งของสโมสรแค่หมายเลขที่เค้าใส่ก็ชัดเจนแล้วว่ามันสำคัญขนาดไหน

การตลาดก็ต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย เพราะปั่นกันมากนาน เบอร์ 9 ฟีร์มิโน่ เบอร์ 10 มาเน่ เบอร์ 11 ซาลาห์ นี่คือ “SMF”

นาทีนี้หมายเลข 10 เปลี่ยนมือ

เพราะบทสรุป FSG กำไรทุกอย่างในดีลนี้ตั้งแต่หัวยันหางต้นจนจบ เพราะจากการขาย ซาดิโอ มาเน ถ้าได้เงินรวมทั้งหมดรวม 35.1 ล้าน เมื่อเทียบกับตอนซื้อจากเซาแธมป์ตัน ไม่รวมค่าเงินที่เด้งไปมาและเฟ้อในช่วง 6 ปีที่แอนฟิลด์

เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทุกๆ ด้านอย่างแท้จริง

ไม่ใช่แค่ตัวเงินตามมูลค่าการซื้อ แต่เมื่อรวมทั้งผลงานด้วย สุดยอดตั้งแต่ต้นจนจบเลยสำหรับดีลของมาเน่

นักบอลที่อยู่ในทุกความสำเร็จของสโมสรยุคคล็อปป์

ยิ่งปีนี้เป็นปีที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับ มาเน่ ที่คว้าแชมป์ทวีป, ได้ไปฟุตบอลโลก และช่วยให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์คาราบาว คัพและเอฟเอ คัพ และจบรองแชมป์ในพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนส์ลีก

มาเน่ อยู่ในหมุดไหนก็ได้ของสนามในแนวรุก ขวาได้ซ้ายดี และหน้าก็ทำได้

ความยืดหยุ่นตรงนี้แหล่ะ ที่สร้างสมดุลให้กับแนวรุกลิเวอร์พูล มาโดยตลอดในยุคหลัง

จากนี้ไปไม่มีแล้วนะแบบนี้

การผจญภัยครั้งใหม่ของ มาเน่ ก็น่าสนใจ เขาถูกเสนอให้เป็น “ตัวท็อป” และเป็น “ฟรอนท์แมน” ของสโมสร

ขณะเดียวกัน นี่คือการเข้าสู่ยุคใหม่ที่ท้าทายอีกครั้งของ คล็อปป์ทีม ที่จะต้องสร้าง “แนวรุก” ขึ้นมาใหม่ แน่นอนหลายคนยืนยันว่า “มั่นใจในคล็อปป์” แต่ต้องไม่ลืมเช่นกัน

ทุกอย่างต้องการ “เวลา”

บี แหลมสิงห์