Union อาจจะเรียกได้ทันทีว่า ยูเนี่ยน ไม่แปลกอะไรตามหลักภาษาทีนี้หลายคนสงกะสัยว่า เมื่อมาอยู่ในวงการฟุตบอลตอนนี้

Union ทำไมถึงอ่านว่า อูนิโอน!?!?!?

ภาษาฟุตบอลตอนนี้ Union Berlin หรือ อูนิโอน เบอร์ลิน (ถ้าอ่านกันจริงจังคือ อูนิโอน แบร์ลีน ด้วยซ้ำไป) สร้างกระแสมาได้พักใหญ่ ๆ หลังจากที่พวกเขาก้าวขึ้นมายึดจ่าฝูงบุนเดสลีกา เยอรมนี ได้อย่างเหลือเชื่อ และหักปากกาเซียน

พวกเขาขึ้นนำได้ตั้งแต่หลังจบแมทช์เดย์ที่ 6 และมาถึงแมทช์เดย์ที่ 11 ก็ยังคงจอดอยู่ในตำแหน่งนี้ แม้จะถูกกดดันและท้าทายจาก “พญาเสือ” บาเยิร์น มิวนิค ที่เกาะติดคิดตังค์ไม่ห่าง เพราะเต็ง 1 ตลอดกาลอย่างพวกเขาได้ถูกลูบคม

ซึ่งการปะทะตรงก็เสมอกัน 1-1 เมื่อวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา

ทำให้นาทีนี้พวกเขาถูกจับตามองว่า มากันยังไงถึงเล่นได้ขนาดนี้ และจะยืนหยัดได้ขนาดไหน หลังจากเพิ่งพ่ายทีมบ๊วยอย่าง เฟาเอฟแอล โบคุ่ม แบบพลิกล็อค 1-2 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

พื้นฐานยืนหยัดด้วยสิทธิมนุษยชน

ประธานสโมสรลำดับที่ 6 ในยุครวมชาติอย่าง “เดิร์ค ซิงเลอร์”ที่บริหารทีมมาตั้งแต่ปี 2004 กล่าวสุนทรพจน์ขั้นเทพที่ว่า ทีมนี้ขอยืนหยัดต่อสู้ด้วยประชาธิปไตย และสิทธิความเป็นมนุษย์

“ด้วยความเคารพ ผมมีความภูมิใจที่จะกล่าวว่า อูนิโอน เบอร์ลิน ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน หากใครคนไหนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด นั่นหมายความว่า ใครคนนั้นจะไม่มีที่ยืนที่สนามฟุตบอลของเรา”

อูนิโอน เป็นทีมระดับชนชั้นแรงงาน ฉายาคือ “Iron Union”

ก่อตั้งทีมชื่อ เอฟเซ โอลิมเปีย 06 โอแบร์เชินเนอวาย ปี 1906 ก่อนเปลี่ยนเป็น เอสเซ ยูนิโอน 06 โอแบร์เชินเนอวาย ปี 1910

เพื่อดูแลเอาใจใส่ฝ่ายแรงงานโดยเฉพาะ

แต่ด้วยสงครามไม่มีความปรานี ไม่มีความอารี มีแต่ทุกข์และเวทนา ในสงครามโลก ครั้งที่ 2 มีการยุบทีมและตั้งมาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะต้องแยกเป็น 2 ทีม เพื่ออยู่ฝั่งตะวันตก และตะวันออก จากนั้นทีมได้มีการเปลี่ยนชื่ออีก 6 ครั้ง จนกลายมาเป็น อูนิโอน เบอร์ลิน ในปี 1966 จนถึงปัจจุบัน

อูร์ส ฟิชเชอร์ ปั้นทีมขึ้นมาได้แบบยิ่งกว่าความฝัน

การเมือง-เมืองหลวง-คู่ปรับคนละทิศ

ด้วยเหตุผลทางการเมือง และพื้นที่ภูมิศาสตร์ ทำให้พวกเขาถูกแยกไปอยู่ฝั่งตะวันออกของเมืองหลวง และประเทศ ก่อนจะกลับมาเล่นในระบบของ บุนเดสลีกา เมื่อปี 1990 ทันทีที่กำแพงเบอร์ลินล่มสลาย

แต่ยุคนั้น แข้งจากเดเดแอร์ กว่าจะรอดมาได้ถือว่ายากถึงยากที่สุด เพราะการแข่งขันทางฝั่งตะวันตกเดิมถือว่า แข็งแกร่งอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่พวกเขาไม่อยู่สารบบใดๆ เลยในบอลเมืองเบียร์

คู่ปรับของพวกเขาคือ ฮันซ่า รอสต๊อค, ดินาโม เดรสเดน และมักเดบวร์ก ไม่ใช่ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน เพราะเตะกันแค่ 12 นัด ในเกมอย่างเป็นทางการเท่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางสู่ระดับสูงสุดของบอลลีกยุครวมชาติ

อูนิโอน เบอร์ลิน ขึ้นสู่ยอดเสาบุนเดสลีกา เป็นครั้งแรกของสโมสร ตั้งแต่ก่อตั้งมาในชื่อนี้ 54 ปี ขึ้นชั้นด้วยการชนะอะเวย์โกล์ “ม้าขาว” สตุ๊ตการ์ท 2-2 ในเกมเพลย์ออฟฤดูกาล 2018-19

กลายเป็นสโมสรแรกในบุนเดสลีกา ที่มาจากอดีตเบอร์ลินตะวันออก และสโมสรที่ 5 จากอดีตเยอรมันตะวันออก ที่ได้เล่นลีกสูงสุด ต่อจาก
ดินาโม เดรสเดน, ฮันซ่า รอสต็อค, เฟาเอฟเบ ไลป์ซิก (คนละทีมกับ แอร์เบ ไลป์ซิก) และเอเนอร์กี คอตต์บุส

การลงสนามครั้งแรกในศึกบุนเดสลีกา ที่สตาอิโอน อัน เดอร์ฟอร์สเตราย (Stadion An der Alten Forsterei) เกิดขึ้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2019 แม้ว่าจะแพ้ยับต่อ แอร์เบ ไลป์ซิก 0-4 แต่สิ่งที่ประทับใจไปทั่วโลกก็คือ พวกเขานำภาพที่แฟนบอลหลายคนที่เสียชีวิตแล้ว มาตั้งในสนามเหมือนกับว่า พวกเขาได้อยู่เคียงข้างซึ่งกันและกัน

จากนั้นชัยชนะนัดแรกในบุนเดสลีกา เกิดขึ้นเมื่อ 31 สิงหาคม พวกเขาเล่นในบ้านตัวเอง ชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้สำเร็จ 3-1 หลังจากก่อนหน้านั้นได้คะแนนแรกในประวัติศาสตร์ด้วยการบุกไปเสมอ เอาก์สบวร์ก 1-1

กุนซือจอมแท็กติกผู้สู้กับความเจ็บปวด

ผู้จัดการทีม คือ “น้าอู๊ด” อูร์ส ฟิสเชอร์ 56 ปี ชาวลูเซิร์น ติดทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ 4 นัด

คุมทัพมาได้ปีนี้เป็นปีที่ 12 นั่นคือ ซูริค, ธูน, บาเซิ่ล นำทัพบาเซิ่ล ครองแชมป์สวิสลีก 2 สมัยซ้อน ปี 2016 กับ 2017 โดยเป็นดับเบิ้ลแชมป์ด้วยในปี 17 แต่กลับไม่ได้รับการต่อสัญญา เพราะทีมมีการตั้งบอร์ดบริหารชุดใหม่ และไม่รู้ว่าประชดชีวิตหรือไม่

อูร์ส มารับงานในระดับดิวิชั่น 2 กับ อูนิโอน ปี 2018 เซ็นสัญญา 2 ปี

เพียงแค่ปีแรกเท่านั้น เขาพาทีมเลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยการจบอันดับ 3 และเพลย์ออฟชนะสตุ๊ตการ์ท จากนั้นในเดือนธันวาคม 2020 เขาเซ็นสัญญาขยายเวลาทำให้เขาอยู่ที่สโมสรจนถึงปี 2023

ซึ่ง อูร์ส ก็ตอบแทนทีมในซีซั่นปฐมฤกษ์บนลีกสูงสุด 2019-20จบอันดับที่ 11 ต่อด้วยซีซั่น 2020–21 นำทีมจบอันดับที่ 7ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรก ในถ้วยยูฟ่า ยูโรป้าคอนเฟอเรนซ์ลีก

ซีซั่นที่แล้ว 2021-22 เขานำทีมจบอันดับที่ 5 ผ่านเข้ารอบสำหรับยูฟ่า ยูโรป้าลีก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พร้อมกับเข้าถึงรอบตัดเชือกบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล

“การเชียร์ของแฟนบอลของเราคือสิ่งที่หาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้ พวกเขามีพลังที่เหลือเชื่อ ผมได้ยินเองยังขนลุกตลอด”

อูร์ส มีทีมงานที่ดี มือขวาสามัคคีของ น้าอู๊ด คือ เซบาสเตียน โบนิก วัย 40 ปี อดีตเด็กปั้นของบาเยิร์นฯ แต่แจ้งเกิดไม่ได้ และมาเล่นกับ อูนิโอน ปี 2004-2009 หลังจากแขวนสตั๊ดปี 2012 ก็เริ่มมาทำงานให้ อูนิโอน ด้วยการเป็น ผู้ช่วยโค้ชทีมชุดยู 19 ต่อด้วยเป็นผู้ช่วยในทีมสำรอง จากนั้นคุมทีมชุดยู 19 ปี 2014 และรับงานผู้ช่วยทีมชุดใหญ่ตั้งแต่ปี 2014 ผ่านการทำงานมาแล้วกับกุนซือถึง 6 คน!!!

ที่ขาดไม่ได้คือโค้ชทีมชุดใหญ่ ก็คือ มาร์คุส ฮอฟฟ์มันน์ วัย 50 ปี เป็นชาวออสเตรีย แต่ทำงานร่วมกับ อูร์ส มาตั้งแต่ปี 2015 ที่บาเซิ่ล แล้วหอบหิ้วกันมาที่นี่

สไตล์สวนทาง‘งบน้อยแต่ต่อยหนัก’

เมื่อครั้งที่เลื่อนชั้นขึ้นมา ทีมมีการสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนนักบอล ดึงเข้ามาใหม่ 18 คน และปล่อยออกไป 14 ราย แน่นอนว่าคนที่เข้ามาเป็นตัวยืม แต่มีตัวประสบการณ์ อาทิ เนเว่น ซูโบติช, โรเบิร์ต อันดริช และคริสเตียน เกนท์เนอร์

หนึ่งในแข้งที่ดึงมาตอนนั้นก็คือ เชรัลโด้ เบ๊คเกอร์ กองหน้าทีมชาติสุรินัม ที่กลายเป็นตัวหลักในยุคปัจจุบัน ตามสไตล์ทีมที่ต้อง “สมองไหล” ในทุกปี

จุดสำคัญก็คือ การดึงนักเตะหมดสัญญา กับยืมนักเตะที่ทีมงานของ อูร์ส ฟิชเชอร์ ทำนั้นลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ภาพชัดคือ โรบิน คน็อคเค่หรือ นิโก้ กีเซลมันน์ รวมถึง นิโก้ ชล็อตเตอร์เบ๊ก

อีกทั้งการเสียนักเตะคนสำคัญออกไปทำให้คิดว่า น่าจะรอดยากอย่าง ราฟาล กิคีวิคซ์ จอมเซฟที่ไปเอาก์สบวร์ก แต่มี อันเดรส ลูเธ่อ รับงานต่อ และปัจจุบัน เฟเดริก โรนโนว จากเดนมาร์ก คือคนที่เฝ้าด่านสุดท้าย

หรือตัวอย่างในแนวรุก ทีมได้เงินเข้าคลังกว่า 20 ล้านยูโร ในการปล่อย ไตโว่ อิโวนิยี่ ดาวยิง 20 ประตู ไปให้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แล้วไปดึง จอร์แดน พีฟอค ซีบัตเชอ ดาวเตะอเมริกัน-ฝรั่งเศส มาจาก ยัง บอยส์ ในลีกสวิส แล้วกลายมาเป็นคู่หูกับเบ๊คเกอร์ ที่เล่นได้วินาศแนวรับฝั่งตรงข้าม

สไตล์ของพวกเขาคือ หลัง 3 กลาง 3 หน้า 2 และวิง 2 นาทีนี้ทีมที่เหมือนขนาดไม่ใหญ่มาก แต่เดินทางมาได้อย่างน่าสนใจ วิธีเล่นไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แต่อาศัยความเข้าใจในแท็กติก อดทนเล่นตามแผน และวิ่ง วิ่ง

แล้วก็วิ่ง!!!!

สถิติการวิ่งของทีมนี้จึงมากกว่าทุกทีมในลีก ทีนี้ต้องมาดูกันว่า บอลเข้มๆ แท็กติกดี วินัยสูง และดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีแรงกดดัน เพราะมาถึงตรงนี้มันเกินฝัน

ผมบรรยายเกมนัดที่ พวกเขาชนะ ดอร์ทมุนด์ ในจังหวะที่ทีมได้ประตูที่ 2 จากนักบอลที่ตลกสุดในลีกอย่าง ยานิค ฮาเบอเรอร์ กล้องจับไปบนอัฒจันทร์ แฟนบอลผู้ชายวัยกว่า 50 ปี กับสีหน้าภูมิใจปนไม่อยากจะเชื่อว่า ทีมของพวกเขาจะมาได้ถึงเพียงนี้

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่า อูนิโอน เบอร์ลิน จะอยู่ยั้งค้ำบนได้นานแค่ไหน

ทีมนี้บอกให้ว่า น่าเชียร์!!!

บี แหลมสิงห์