การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ฤดูกาล 2022-23 เดินทางมาถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ หรือ 8 ทีมสุดท้าย เลกสอง หลังเลกแรกเราได้เห็นผลงานของแต่ละทีมกันไปแล้ว ในค่ำคืนนี้จะลงทำการแข่งขัน 4 คู่ ลงเล่นในเวลาเดียวกัน 02.00 น. เพื่อหา 4 ทีมผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือก
02.00 น. เซบีญ่า (สเปน)-แมนฯยูไนเต็ด (อังกฤษ) (เลกแรก เสมอ 2-2) “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เลกแรกพลาดท่าทำหมูหกนำก่อน 2-0 แต่ดันจบลงด้วยสกอร์ 2-2 ต้องออกไปเยือนถิ่น ราม่อน ซานเชซ ปิซฆวน ของเซบีญ่า เจ้าของแชมป์รายการนี้มากที่สุด 6 สมัย
เจ้าถิ่น เซบีญ่า ผลเสมอในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงมีมนต์ขลังในการลงเล่นถ้วยนี้ถือว่า
ถูกโฉลกสุดๆ แม้ว่าฤดูกาลนี้จะฟอร์มไม่ดีเปลี่ยนโค้ชมาแล้ว 3 ราย ปัจจุบันใช้บริการ โฆเซ่ หลุยส์ เมนดิลิบาร์ ตามรายงานไม่มีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บหรือติดโทษแบน เรียกได้ว่าแกนหลักอยู่กันครบ ยึดระบบการเล่น 4-2-3-1 นำโดยแกนหลักอย่าง ยาซีน บูโน เฆซุส นาบาส, มาร์กอส อคุนญ่า, อีวาน ราคิติช, ลูคัส โอคัมโปส และยุสเซฟ เอ็น-เนสซรี่
ฝั่งผู้มาเยือน มีเรื่องให้ เอริค เทน ฮาก ต้องปวดหัวในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องเสียแกนหลักไปหลายราย ทั้ง ราฟาเอล วาราน, ลิซานโดร มาร์ติเนซ, มาร์คัส แรชฟอร์ด แถมเกมนี้ บรูโน่ เฟอร์นานเดสยังมาติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลืองครบโควตา แต่ในลีกนัดล่าสุดบุกไปเอาชนะ “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ มาได้ 2-0 ข่าวดีในเกมนี้คือได้ ลุค ชอว์ ที่ฟิตกลับมาประจำการแบ็คซ้าย หลังต้องโยกดีโอโก้ ดาโลท์ มาเล่นแทน ที่เหลืออยู่ครบ
เซบีญ่า ช่วงหลังเล่นได้อย่างมั่นใจมากขึ้นหลังเปลี่ยนโค้ชแล้วผลงานดีพวกเขาไม่แพ้ใครมา 4 เกมติด แถมสถิติในบ้านก็แข็งแกร่ง 9 เกมหลัง ชนะได้ถึง 7 เสมอ 1 แพ้ 1 ส่วน แมนฯยูไนเต็ด มักจะมีปัญหาในยามที่ต้องเจอกับบอลเขี้ยวๆ และมีประสบการณ์ แถมสถิติการเจอทีมจากสเปนก็ไม่สู้ดีนัก ชนะได้แค่ 22 จากการลงเล่น 73 เกม คิดเป็นค่าเฉลี่ยเข้าวินแค่ 30.14% เท่านั้น
สกอร์ที่คาด : เซบีญ่า 2-1 แมนฯยูไนเต็ด
ส่วนโปรแกรมคู่อื่นมีดังนี้ สปอร์ติ้ง ลิสบอน (โปรตุเกส)-ยูเวนตุส (อิตาลี) (เลกแรก ยูเวนตุส ชนะ 1-0), โรม่า (อิตาลี)-
เฟเยนูร์ด (เนเธอร์แลนด์) (เลกแรก เฟเยนูร์ด ชนะ 1-0) และอูนิยง แซงต์ กิลลัวร์ (เบลเยียม)-เลเวอร์คูเซ่น (เยอรมนี)
(เลกแรก เสมอ 1-1)
ขณะเดียวกัน “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ยังคงจมอยู่ในวังวนแห่งความสับสนในฤดูกาลนี้ หลังจาก โรดริโก้ เหมาสองพา “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด บุกย้ำแค้นถึงสแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยสกอร์เดียวกันจาก 6 วันที่แล้ว 2-0 ทำให้ เรอัล มาดริด เข้ารอบด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 4-0
เรอัล มาดริด เข้ารอบตัดเชือกไปพร้อมกับ เอซี มิลานที่บุกไปยันเสมอ นาโปลี 1-1 เข้าตัดเชือกถ้วยนี้เป็นหนแรกตั้งแต่ปี 2007 ด้วยสกอร์รวม 2-1
ขณะที่ เชลซี ที่รกรุงรังเรื่องการบริหาร และฟอร์มการเล่นที่รั้งอันดับ 11 ในพรีเมียร์ลีกและตามหลังไบรท์ตัน ทีมอันดับ 7
ซึ่งเป็นพื้นที่สุดท้ายที่จะไปบอลยุโรปห่างถึง 10 แต้ม และทำให้พวกเขาแทบจะหมดลุ้นการไปตะลุยยุโรปซีซั่นหน้า หลังจากการคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกซึ่งเป็นโอกาสดีที่สุดเป็นหมันไปแล้ว
เชลซี ซึ่งเปลี่ยนแปลงผู้บริหารทีมจาก โรมัน อบราโมวิช ที่โดนพิษการเมืองเล่นงาน ทำให้ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ เข้ามาเป็นเจ้าของทีมใหม่ กำลังจะมือเปล่าพร้อมกับการบริหารที่ยุ่งเหยิงอย่างมาก และยังใช้งบประมาณในการซื้อนักบอลมากถึง 600 ล้านปอนด์
แฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์ ผู้จัดการทีมชั่วคราวของสโมสร ทำสถิติไม่น่าจำก็คือแพ้ทุกนัดที่คุมทีม 4 เกมเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ทีม กล่าวว่า เป็นอีกครั้งที่ทีมของเราไม่สามารถฉวยโอกาสที่เข้ามาได้
“มันไม่ใช่การอยากลอง หรือทดสอบระบบอะไร” แลมพ์ กล่าว “เรามีการครอสบอลมากมายและผู้เล่นหลายคนอยู่ในตำแหน่งที่ดี ดังนั้น ผมจะไม่วิจารณ์เด็กๆ ในเรื่องนั้น มันเป็นความจริงที่ว่า หากเราฉวยโอกาสเหล่านั้นได้ และทำประตูได้ คุณจะกลับเข้าสู่เกมทันที แต่ถ้าคุณพลาดแล้วพลาดอีก คุณเตรียมโดนลงโทษได้เลย เพราะเรากำลังเล่นกับคู่แข่งระดับโลก”
ทั้งนี้ เชลซี เหลือเกมลีกอีก 7 เกม โดยเกมต่อไปจะเปิดบ้านพบกับ เบรนท์ฟอร์ด ในวันพุธที่ 26 เมษายน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี