ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำค่ำคืนวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2023 แมทช์เดย์ที่ 34 มีลงทำการแข่งขัน 5 คู่ แน่นอนว่าไฮไลท์อยู่ที่การเจอกันของสองทีมที่กำลังลุ้นแชมป์และหนีตายอย่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่จะเปิดบ้านพบกับบอลเปลี่ยนโค้ชอย่าง “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด เวลา 21.00 น.
เจ้าถิ่นเพิ่งลงเล่นในกลางสัปดาห์เมื่อวันพุธที่ผ่านมาด้วยการเปิดรังถล่ม “ขุนค้อน” เวสต์แฮม 3-0 แซง “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง การลงเล่นเกมนี้จะทำให้ทั้งสองทีมแข่งเท่ากัน และ ซิตี้ มีโอกาสขยับหนีเป็น 4 แต้ม ปัญหาเดียวของ เป๊บ กวาร์ดิโอล่า คือต้องรอทดสอบความฟิตของ เควินเดอ บรอยน์ จอมทัพคนสำคัญว่าจะพร้อมลงเล่นได้หรือไม่ หากไม่ไหว ฆูเลี่ยน อัลบาเรซ น่าจะได้สตาร์ทแทน นอกนั้นขุมกำลังอยู่หลักกันครบ เอแดร์ซอน ที่ได้พักจะกลับมาเป็นตัวจริง เกมรุกมี แจ็ค กรีลิช ที่กำลังเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมจะขึ้นเกมทางซ้าย ส่วนหน้าเป้าไม่ใครต้านทาน เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาลันด์ ที่เพิ่งทุบสถิติใหม่ยิงไป35 ประตู ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายในฤดูกาลเดียว
ฝั่งผู้มาเยือน “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด ทำการปลด ฆาบี้ กราเซีย เทรนเนอร์ชาวสเปนออกจากตำแหน่งพร้อมทีมงาน และผู้อำนวยการกีฬา ไปดึงเอาจอมเก๋าอย่าง “บิ๊กแซม” แซม อัลลาร์ไดซ์เข้ามาคุมทีม ทำภารกิจหนีตายใน 4 เกมสุดท้าย ตอนนี้มี 30 คะแนน ทีมยังมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ หมดสิทธิ์ใช้งาน ไทเลอร์ อดัมส์, สจ๊วร์ต ดัลลาส และหลุยส์ ซินิสเตอร์ร่า ส่วน เลียมคูเปอร์ ต้องรอเช็คความฟิต เกมรุกต้องฝากความหวังไว้ที่บรรดาแข้งที่มีความเร็วอย่าง แจ็ค แฮร์ริสัน, คริสเซนซิโอ้ ซัมเมอร์วิลล์ และวีลฟรีด ญอนโต้ โดยมี แพทริค แบมฟอร์ด เป็นตัวจบสกอร์
ส่วนโปรแกรมคู่อื่นในวันเดียวกัน 21.00 น. บอร์นมัธ – เชลซี,21.00 น. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ - คริสตัล พาเลซ, 21.00 น.วูล์ฟแฮมป์ตัน - แอสตัน วิลล่า และ 23.30 น. ลิเวอร์พูล –เบรนท์ฟอร์ด
ขณะเดียวกัน พลพรรค “อัซซูร่า” นาโปลี สิ้นสุดการรอคอย33 ปี เถลิงบัลลังก์แชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี สมัยที่ 3 ได้สำเร็จ เมื่อบุกไปเสมอกับ อูดิเนเซ่ 1-1 ทำให้มีเพิ่มเป็น 80 คะแนน ทิ้งห่าง ลาซิโอ ทีมอันดับ 2 เป็น 16 แต้ม จากการลงสนามเท่ากัน 33 นัด โดยเหลือโปรแกรมอีกเพียง 5 นัด ทำให้แต้มขาดลอยเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งนี้ นาโปลี คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ไปครอบครองในรอบ 33 ปี โดยหนสุดท้ายที่ทัพ “อัซซูร่า” คว้าสคูเด็ตโต้ ต้องย้อนกลับไปในฤดูกาล 1989/90 ยุคที่ ดิเอโก มาราโดน่า ตำนานแข้งอาร์เจนไตน์ผู้ล่วงลับเป็นตัวชูโรง