การแข่งขัน ซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่ประเทศ กัมพูชา ได้ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันพุธที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยครั้งนี้ ขุนพลนักกีฬาทีมชาติไทย จบเป็นอันดับ 2 ด้วยการทำไปทั้งสิ้น 108 เหรียญทอง , 96 เหรียญเงิน และ 108 เหรียญทองแดง (รวม 312เหรียญ)  

โดยจากผลงานดังกล่าวทำให้  ทัพนักกีฬาทีมชาติไทย พลาดการเป็นเจ้าเหรียญทองสมัยที่ 4 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี 2017 ที่มาเลเซีย, 2019 ที่ฟิลิปปินส์ และ 2021 ที่เวียดนาม  ส่วนเจ้าเหรียญทองในการแข่งขันครั้งนี้ตกเป็นของ ทีมชาติ เวียดนาม ที่ทำไป   136 เหรียญทอง ,105 เหรียญเงิน และ 114 เหรียญทองแดง (รวม 355) นับเป็นการคว้าเจ้าเหรียญทองเป็นสมัยที่ 3 และเป็นครั้งแรกที่ทำได้ในต่างแดน หลังจาก 2 ครั้งก่อนหน้านี้เป็นเจ้าเหรียญทองซีเกมส์ ปี 2003 และปี 2021 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ  ส่วน กัมพูชาเจ้าภาพ จบการแข่งขันในอันดับ 4 ด้วยผลงาน 81 เหรียญทอง มากกว่า ซีเกมส์ทุกสมัยที่เคยทำได้ก่อนหน้านี้รวมกัน

ขณะเดียวกันเมื่อช่วงค่ำวันพุธที่ผ่านมาก็ได้มีพิธี ปิดอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ที่สนามกีฬาแห่งชาติมรดกเตโช กรุงพนมเปญ  โดยมี พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี ส่วนผู้แทนประเทศไทยจะมี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย, ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, นายเชิดเกียรติ อัตถากร เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ร่วมในพิธี

  ซึ่งพิธีการเจ้าภาพยังคงนำเสนอศิลปวัฒนธรรมของกัมพูชาส่งท้ายการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ครั้งแรกของประเทศ ส่วนไทยจะมีการแสดงชุด “สวัสดี ซีเกมส์” ที่ออกแบบและแสดงโดย “คิดบวกสิปป์” กลุ่มคนรักนาฏศิลป์ที่ออกแบบการแสดงที่แปลกใหม่ จนคว้าแชมป์การแข่งขันไทยแลนด์ ก็อต ทาเลนต์ เพื่อรับมอบธงเจ้าภาพต่อในการจัดการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในปี 2025 โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายนิติ วิวัฒน์วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี, นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา รวมทั้งนายประชุม บุญเทียม รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมรับมอบธงเจ้าภาพ ในฐานะเมืองเจ้าภาพร่วมในครั้งหน้า
 

สำหรับประเทศไทย จะเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม ในปี พ.ศ. 2568 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยใช้กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, สงขลา เป็น 3 จังหวัดหลักในการเป็นเจ้าภาพ