การเซ็นสัญญาของ รูเบน เนเวส กองกลางทีมชาติโปรตุเกส ที่ตกเป็นเป้าหมายในทุกๆ ซัมเมอร์ นับตั้งแต่เขามาอยู่ที่เวสต์ มิดแลนด์ กับ “หมาป่า” วูล์ฟส์ เมื่อ 6 ปีก่อน เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง
การออกจากถิ่นโมลินิวซ์ กลายเป็นว่า เนเวส วัย 26 ปี ไปอยู่กับ อัล-ฮิลาล ในซาอุดีอาระเบีย’ส โปร ลีก(Saudi Arabia’s Pro League)
เหตุการณ์แบบนี้มันไม่ปกติแน่นอน
สัญญาณมันส่งมาอย่างน่าตกใจ ไม่ได้เกี่ยวกับดีลของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้,คาริม เบนเซม่า หรือกระทั่ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้เพราะด้วยวัยวุฒิที่ออกอาวุธในลีกแบบนี้เป็นการมาทิ้งทวน
หรีอดีลของ มาเธอุส เปเรยร่า ที่ย้ายจาก เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน มาอยู่ที่ อัล-ฮิลาล เมื่อปี 2021 ด้วยราคา 15 ล้านปอนด์ อันนั้นถือว่า ข้อจำกัดเรื่องความสามารถในระดับสูง
แต่การที่นักบอลอย่าง เนเวส และอาจจะเป็น แบร์นาโด้ ซิลวา ที่วัยแค่ 28 ปี“มีสิทธิ์” คิดจะมาเล่นที่นี่ มันมีปัจจัยอะไรที่น่าสนใจมากกว่าคำว่า “เงิน” หรือไม่
เห็นตรงนี้แล้ว ท่วงทำนองร้องออกมากันได้หลายต่อหลายคนกับเพลงที่ 2 หน้า B ของ คาราบาว ชุดอเมริโกย ที่ว่า เขียนป้ายไปปักไว้บอกคนทั้งหลายว่าอยากขายที่นา.....นำทรัพย์สินเงินตราจากขายที่นาตีตั๋วเครื่องบิน.....จะไปซาอุ!!!!!
กระทั่งเป็นเพลงของ ไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกร พรศักดิ์ ส่องแสง ที่ว่า เสี่ยงดวงไปถึงซาอุ ยกมือสาธุ หมดนา หมดไร่เกือบ จะบินไปตาย เกือบจะไม่ได้ กลับมา โดนหลอก เอาไปลอยแพ อนาจใจแท้ ชะตา พอกลับคืนบ้านนา ความรักของข้า....หลุดลอย!!!!!!
ผมในฐานะเป็นหนึ่งในคนที่ “ได้ใช้เงินจากตะวันออกกลาง” เพราะพ่อของผมไปทำงานยุค “ซาอุรุ่นแรกๆ” พ่อไปวัดดวงก่อนที่เพลง ซาอุดร จะออกวางแผงในอัลบั้ม
อเมริโกย ปี พ.ศ.2528 น่าจะประมาณปีเศษๆ แอบถามพ่อบ่อยๆ ว่า ซาอุฯเป็นอย่างไรคำตอบก็คือ ร้อน....ร้อน แล้วก็ร้อนมาก!!!
มาถึงวันนี้ “จะไปซาอุ” กลายเป็นประเด็นร้อนแรง จากที่เคยติดหลบพวกเขาจำต้องกลบนี้ด้วยวิชั่นส์ที่น่าสนใจ และหนึ่งในนั้นนำ “กีฬา” โดยเฉพาะ “ฟุตบอล” มาเป็นตัวตั้งในซัมเมอร์นี้
ประเด็นเกิดขึ้นตรงที่นักบอลที่สามารถ “ไปต่อได้สบาย” ด้วยวัยขนาดนี้จะเลือกมาลีกที่เป็นลักษณะเหมือนกับ “ลีกจีน” เมื่อสี่ซ้าห้าปีก่่อนที่สุดท้ายก็พังไป
มาโกยเงินเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะหรืออย่างไร
นี่คือหนึ่งในโปรเจกท์เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของประเทศที่น่าสนใจยิ่งจากการวางหมากใหม่ทั้งหมด หลังจากเมื่อปี 2017 ได้มีการ “เปิดวิสัยทัศน์ชาติ 2030” เพื่อกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ของประเทศแบบเต็มรูปแบบทุกมิติและจริงจังอย่างมาก เนื่องจากต้องรับกับโลกยุคใหม่ หลังจาก “ถูกหวย” ครั้งใหญ่เมื่อ 85 ปีที่แล้ว
นั่นคือการพบน้ำมัน
ซาอุดีอาระเบียได้ค้นพบน้ำมันเมื่อปี พ.ศ. 2481 โดยนักสำรวจชาวอเมริกา ทำให้โลกใบนี้เปลี่ยนบันทึกไปตลอดกาล จากชาติที่ไม่มีอะไรเลย กลายเป็นรวยล้นฟ้าเพียงแค่พลิกฝ่ามือ
หลังจากร่ำรวยได้เพียงข้ามคืนด้วยเรื่องพลังงาน มันผลักดันให้ “คนที่ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน” สามารถจะคิดทำอะไรก็ได้อย่างเต็มที่ บางครั้งขาดบางครั้งเกิน กระทั่งโลกตั้งคำถามกับประเทศนี้ และเหล่าพันธมิตรอยู่หลายครั้ง สุดท้ายแล้วความท้าทายครั้งสำคัญเกิดขึ้น เมื่อแหล่งน้ำมันดิบที่เคยหัวใจ เริ่มมีปริมาณลดลง สวนทางกับพลังงานทางเลือกที่มากขึ้น ทำให้มิติทางความคิดใหม่จึงเกิดขึ้นมา
โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารในฐานะของผู้นำประเทศ ได้วางงบประมาณเอาไว้ในการประมาณตัวเลขถึง 620,000 ล้านดอลลาร์ จากกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบีย (The Public Investment Fund) หรือที่เรารู้จักในนามเจ้าของสโมสรนิวคาสเซิ่ล บวกกับเงินจากนักลงทุนต่างชาติ ได้เลือก เมืองนิอุม (NEOM) เนรมิตแนวคิดนี้
นิอุมอยู่ที่จังหวะตาบุค ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ตามภาษาอาหรับคือคำว่า “อนาคต”
ข้อมูลนี้น่าสนใจมากเพราะจะสร้าง 3 สิ่ง คือ 1.The Line เมืองในรูปแบบเส้นตรงยาวกว่า 170 กิโลเมตร รองรับประชากร 9 ล้านคน ต่อด้วย 2. Oxagon (Neom Industrial City) เป็นเขตอุตสาหกรรมพื้นที่ 250 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่ามหานครนิวยอร์ก 33 เท่า หรือว่า NIC และปิดท้ายด้วย Trojena เป็นลำดับที่ 3 พื้นที่เล่นสกี และสร้างทะเลสาบน้ำจืดกลางหุบเขา มีระดับความสูงสุดที่ 2,600 เมตร
พื้นที่ของ นิอุม ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจ เพราะใกล้กับตะวันออกของอียิปต์ และอคาบา ทางใต้ของจอร์แดน, ติดกับทะเลแดง ที่เชื่อมต่อไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทะเลอาหรับ
ผมเคยไปทำข่าวสนุ้กเกอร์ชิงแชมป์เอเชีย ที่อคาบา ปี 2004 มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเกือบ 2 สัปดาห์ มีโอกาสได้ไปจุดรอยต่อต่างๆ จากการแนะนำของเจ้าหน้าที่โรงแรมที่พัก (โมเวนพิค) เวลานั้นมันร้อนมาก มีแต่ทรายกับทราย แต่ความงดงามก็คือเราจะเห็นเป็น “ทรายสีชมพู” เมื่อคุณมองจากเครื่องบินลงไปพื้นล่างที่มันงดงามมาก(เห็นได้ด้วยตาในระหว่างนั่งเครื่องบินภายในประเทศจากกรุงอัมมาน ไปที่ อคาบา)
ทิศตรงนั้นหากนับกับ นิอุม ถือเป็นรอยต่อที่สำคัญ สิ่งที่ต้องสู้กันก็คืออากาศที่ค่อนข้างเย็นมากในเวลากลางคืน ก่อนจะร้อนจัดจนกระโดดสระว่ายน้ำไม่ได้เลยในเวลากลางวัน
กลับมาที่เรื่องของกีฬา ซาอุดีอาระเบีย ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ และหลายคนคิดว่ากีฬาเป็นเพียงการล้างภาพลักษณ์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอาการหนักหนาสาหัสกว่าจะได้เข้าไปเทคโอเวอร์ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ต้องใช้เวลาเข้าออกนานนับปี จากกรณีของการถูกโยงกรณีฆาตกรรมนักข่าว จามาล คาช็อกกี
เป็นที่ทราบกันว่า ซาอุดีอาระเบียทำเงินได้มากมายจากน้ำมัน จาก อารัมโก้(Aramco) บริษัทน้ำมันที่ควบคุมโดยรัฐของประเทศผลิตน้ำมันดิบมากกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 มี.ค. 2566ที่ผ่านมา อารัมโก้ เปิดเผยผลประกอบการประจำปี 2565 ปรากฏว่า บริษัทมีกำไรมากถึง 1.61 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านั้น 46.5%!!!!!
การคำนวณเฉพาะ “กำไร” จากปีก่อนหน้านี้ มีผลกำไร 441 ล้านดอลลาร์ทุกวัน, กำไร 18 ล้านเหรียญต่อชั่วโมง เท่ากับว่า กำไร 306,000 เหรียญในทุกๆ นาที!!!!
นับเป็นกำไรประจำปีสูงสุดเท่าที่เคยมีการบันทึกโดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประวัติศาสตร์ส่งผลให้มูลค่าตลาด 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกใบนี้รองจาก Apple และ Microsoft เท่านั้น
น้ำมันคิดเป็น 42% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของซาอุดีอาระเบีย
87% ของรายได้งบประมาณ และ 90% ของรายได้จากการส่งออก
เมื่อราคาน้ำมันมีราคาลดลงอย่างมากในช่วงต้นทศวรรษ 80 ซาอุฯ ที่กำลังนำคนจากประเทศกำลังพัฒนา ไปทำงาน เร่งเพื่อผลิตน้ำมันเพื่อสู้ภาวะถดถอย ก่อนที่จะใช้เวลานานเกือบๆ 3 ทศวรรษในการฟื้นตัวจนเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน จึงประกาศแผนวิสัยทัศน์ดังกล่าวนี้
แผนดังกล่าววางกรอบการทำงานเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันทางเศรษฐกิจของราชอาณาจักร โดยการโอนผลกำไรไปยังผ่านกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ
หนึ่งในหลักชัยที่วางตั้งไว้นั่นคือ “กีฬา”
ประมาณกันว่า ซาอุดีอาระเบีย ต้องทำงานนี้และใช้เงินไปแล้วกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ในการลงทุนต่างๆ ในวงการกีฬา ข้อตกลงสำคัญต่างๆ จึงเกิดขึ้นมากมาย
ซื้อทีมนิวคาสเซิ่ล ราคา 408 ล้านดอลลาร์ในปี 2021
มีข้อตกลง 10 ปีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์กับ WWE ซึ่งรับประกันว่าจะมีการแข่งขันอย่างน้อยสองครั้งในแต่ละปี
ข้อตกลง 10 ปีกับการแข่งขัน Formula 1 มูลค่า 650 ล้านดอลลาร์ โดยรับประกันว่าจะมีการแข่งขันที่นี่ทุกปี
อารัมโก้ มีข้อตกลงการเป็นสปอนเซอร์ F1 เป็นเวลา 10 ปีมูลค่า 450 ล้านดอลลาร์
เป็นผู้สนับสนุนหลักการแข่งขันรถยนต์ระดับโลกอย่าง 24 Hours of Le Mans, Indy 500, และ Dakar Rally
ซาอุดีอาระเบียจ่ายเงินอย่างน้อย 150 ล้านดอลลาร์ เพื่อจัดรายการชกมวยดังนำโดย แอนโธนี่ย์ โจชัว
ที่น่าสนใจก็คือ การทุ่มเงินอย่างน้อย 3 พันล้านดอลลาร์ในการเป็นพันธมิตรกับ PGA Tour หลังจากประสบความสำเร็จแบบถล่มทะลายกับ อภิมหาโปรเจกท์ยักษ์สะเทือนวงการกีฬาโลก ลีฟ กอล์ฟ หรือ “ซาอุดีซูเปอร์กอล์ฟลีก(Saudi-funded LIV Golf series)” ที่มีผู้ชมล้นหลามอย่างน่าตกใจ
มาในปีนี้ยังได้เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุด 4 ทีมของประเทศ โดยเซ็นสัญญากับคริสเตียโน โรนัลโด, คาริม เบนเซม่า และคนอื่นๆ เพื่อบรรลุข้อตกลงมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์
จนมีคำกล่าวที่ว่า นี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆของภูเขาน้ำแข็ง
ฉากทัศน์ในวงการกีฬาของ ซาอุฯ ถูกสังเคราะห์ออกมาว่า สามารถเป็นการลงทุนที่ให้ผลกำไรสูง พร้อมกับสามารถที่จะใช้เพื่อแสดงภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศต่อโลกตะวันตก ทำให้ซาอุดีอาระเบียสามารถลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เสริมได้อีกมากมาย ด้วยศักยภาพที่มี
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ การใช้กีฬามาทำไปพร้อมๆ กับการยกระดับเรื่องกำหนดรูปแบบการศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อให้เด็กทุกคนทั่วประเทศเติบโตก้าวไปพร้อมกับนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และเทคนิคปฏิบัติการ
ซอฟต์ พาวเวอร์ คำฮิตติดหูคนไทยนั้นซาอุฯก็มีนั่นคือเพิ่มความสามารถของราชอาณาจักรในการรองรับมุสลิมจากทั่วโลกที่จะเข้ามาแสวงบุญในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ เป้าหมายคือ 15 ล้านคน ในปี 2020 เป็น 30 ล้านคนในปี 2030
ซึ่งปีที่ตรงกับตัวเลขในวิสัยทัศน์ชาติพอดี
โดยช่วงเวลานั้น ซาอุฯ ได้วางแผนในการต่อสู้เพื่อเป็นเจ้าภาพด้วยการนำ “กีฬามาประกบ” สุดท้ายได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน “มหกรรมกีฬาใหญ่” ถึงสองรายการ
นั่นก็คือ เอเชี่ยนเกมส์ ฤดูหนาว ปี 2029ที่ Trojena 1 ใน 3 พื้นที่ของเมืองนิอุม
จากนั้นในปี 2034 จะเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ฤดูร้อน ที่กรุงริยาด
ซาอุฯ ได้เริ่มโหมเงินไปกับวงการกีฬาต่างๆ มากมาย ไม่เพียงแต่ฟุตบอล ซึ่งการเป็นเจ้าภาพกีฬาคือการประกาศศักยภาพของประเทศนั้นๆ น่าเสียดายที่มีข่าวว่า
บางประเทศที่ได้สิทธิ์จัดกีฬาสำคัญๆ ดันปล่อยให้หลุดมือไปทั้งที่ตอนไป “บิด” ได้คิดอะไรบ้างหรือไม่
หนึ่งในตัวอย่างที่ไม่น่าจำคือ เวียดนาม ที่บิดเจ้าภาพเอเชี่ยนเกมส์ 2018 อยู่ๆ ดันถอดใจจนโดนด่า และสูญเสียซึ่งความเชื่อถือไป หลังจากไม่ได้เงินหนุนจากพี่ใหญ่อย่าง จีน
ถึงตรงนี้ เราเห็นแล้วว่า แผนงานที่น่าสนใจทั้งหมด เกิดขึ้นจากการพัฒนาประเทศ ไปพร้อมๆ กับการลบภาพปัญหามากมายที่เกิดขึ้นภายใต้คำว่า “สิทธิมนุษยชน”
ทั้งหมดจะเป็น ภูเขาไฟ หรือ ภูเขาน้ำแข็ง กันแน่.......อันนี้ไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือ อย่าคิดหวังว่าซาอุดีอาระเบียจะหยุดในเร็วๆ นี้
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี