เปิดใจ‘ซ้อเอ๋’หลัง‘รถถัง จิตรเมืองนนท์’พ่ายคะแนน‘ซุปเปอร์เล็ก’แบบมีดราม่า ชี้แบกน้ำหนักมากกว่าคู่ชก 5 ปอนด์ เสียเปรียบแรงปะทะ ส่วนโอกาส‘รีแมตช์’แก้มือยังไม่อยากคิด
24 กันยายน 2566 ควันหลงจากศึกวัน ลุมพินี 34 ซูเปอร์ไฟต์ ที่เวทีมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการพบกันระหว่าง “รถถัง จิตรเมืองนนท์” เจ้าของแชมป์มวยไทย วันแชมเปียนชิพ รุ่นแคตช์เวต (140 ปอนด์) พบกับ “ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9” เจ้าของแชมป์คิกบ๊อกซิ่ง วันแชมเปียนชิพ รุ่นฟลายเวต
ก่อนการชกได้มีการชั่งน้ำหนักอย่างเป็นทางการ แต่ผลปรากฏว่า ซุปเปอร์เล็ก ทำน้ำหนักไม่ผ่าน เพราะมีน้ำหนักเกินพิกัดถึง 5 ปอนด์ ทำให้คู่นี้ต้องยกเลิกการชกเข็มขัดแชมป์ แต่ยังขึ้นชกตามกำหนดการเดิมในกติกาการชก 3 ยก ทำให้ รถถัง ต้องแบกน้ำหนักมากกว่าคู่แข่งถึง 5 ปอนด์
ผลการชกปรากฏว่า รถถัง เป็นฝ่ายพ่ายคะแนน ซุปเปอร์เล็ก จนทำให้คนดูกังขาว่าเหตุใดฝ่าย รถถัง ถึงได้แพ้คะแนน ซุปเปอร์เล็ก ทั้งๆ ที่ฟันศอกใส่ ซุปเปอร์เล็ก จนหน้าแตกต้องเย็บถึง 30 กว่าเข็ม ซึ่งต่อมาหลังจบการแข่งขัน น.ส.สุนทรี โลหะพืช หรือ ซ้อเอ๋ โปรโมเตอร์มวยลุมพินี หัวหน้าค่ายจิตรเมืองนนท์ ได้ออกมาโพสต์เฟสบุ๊ครัว ๆ ถึงผลการแข่งขันดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 23 ก.ย.66 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยถึงความในใจจาก “ซ้อเอ๋” เกี่ยวกับสาเหตุการโพสต์เฟสบุ๊คถึงผลการชกว่า สาเหตุที่ตนโพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัวรัว ๆ เพราะรู้สึกเสียใจและผิดหวังที่ปกป้องลูกไม่ได้ ทำให้ รถถัง ต้องแบกน้ำหนักขึ้นไปชกถึง 5 ปอนด์กว่า จนต้องแพ้คะแนนไปแบบน่าเจ็บใจ เพราะเรื่องของน้ำหนักตัวจะมีผลต่อแรงปะทะ แต่เมื่อตนกับลูกเดินไปสู่จุดนั้นแล้วก็จำเป็นต้องขึ้นชกเพื่อไม่ให้เสียชื่อรายการของวันแชมเปียนชิพ ตนไม่ทราบและไม่เคยรู้ล่วงหน้ามาก่อนเลยว่า รถถังจะต้องขึ้นชกด้วยการแบกน้ำหนักถึง 5 ปอนด์กว่า มารู้กันในวันชั่งน้ำหนักในนาทีสุดท้ายแล้วว่า คู่ชกทำน้ำหนักไม่ได้ เพราะในวันแถลงข่าวตนก็เห็นว่าซุปเปอร์เล็กมีรูปร่างสูงใหญ่และอ้วน ตนยังคิดว่าเขาจะทำน้ำหนักตามพิกัดได้หรือไม่ สุดท้ายซุปเปอร์เล็กก็ทำน้ำหนักไม่ได้ ไม่ผ่านพิกัด แถมน้ำหนักยังเกินมา 5.6 ปอนด์
ซ้อเอ๋ เปิดเผยอีกว่า สาเหตุที่ตนต้องตัดสินใจให้รถถังขึ้นชกในวินาทีสุดท้ายนั้น เป็นเพราะว่ามันเป็นไฟท์แรกของ รถถัง ที่จะขึ้นชกด้วยการสตาร์ทค่าตัวขึ้นชกที่ 10 ล้านบาท และที่สำคัญตนไม่อยากทำให้รายการของวัน แชมเปียนชิพเสียหาย เพราะจะมีผลกระทบกับสปอนเซอร์ การเตรียมงานและผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆคน ซึ่งตัวหลักที่สำคัญในรายการนี้คือรถถังกับซุปเปอร์เล็ก และถ้าขาดตัวหลักคนใดคนหนึ่งไปก็จะเกิดความเสียหายกับรายการอีกเยอะ
“ตนจึงตัดสินใจให้รถถังขึ้นชกไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาที่ว่า การที่รถถังจะขึ้นชกในรายการนี้ที่จะได้ค่าตัวเป็นเงิน 10 ล้านบาท ทำไมต้องมาเจออุปสรรคขนาดนี้ เพราะลำพังตัวซุปเปอร์เล็กเองก็เก่งมีฝีมือมากกว่ารถถังอยู่แล้ว เพราะในขนาดที่เขาเป็นซุปเปอร์มวยไปก่อนแล้ว รถถังยังเพิ่งชกมวยโนเนมอยู่เลย แถมรูปร่างก็ได้เปรียบกว่าและประเด็นสำคัญคือในวันชั่งน้ำหนักก่อนขึ้นชกหนึ่งวันนั้น ทำไมไม่ใช่กติกามวยไทยที่ชั่งน้ำหนักในตอนเช้าและขึ้นชกในตอนเย็น ถือเป็นงานหินของรถถังอยู่แล้วและยังต้องมาแยกน้ำหนักคู่ชก 5 ปอนด์กว่าอีก”
ซ้อเอ๋ กล่าวอีกว่า ตนรู้ว่าหลังการชกเสร็จสิ้นลง รถถังต้องเจ็บปวดมากๆ คนในฐานะคนเป็นแม่ที่ดูแลรถถังมา ก็รู้สึกจุก พูดไม่ออก ที่ยอมให้ลูกขึ้นไปชกด้วยความเสียเปรียบ ส่วนผลการชกจากที่ตนดูอยู่นั้น แรงปะทะเวลาเข้าทำของรถถังเสียเปรียบมาก เพราะเวลาเข้าปะทะจะดูเหมือนกระเด็นกระดอนออกมาทำให้ดูเสียรูปมวยอยู่บ้าง แต่ในยกสองนั้นรถถังก็ไม่น่าจะถูกกรรมการนับ เพราะคนที่ดูมวยอยู่ก็เห็นหรือหากจะนำเทปมารีเพลย์ดูก็จะเห็นว่า ในจังหวะนั้นก้นของรถถังยังพิงอยู่ที่เชือกบนเวทีเส้นที่ 2 ไม่ได้ล้มลงไปกับพื้นและมือก็ไม่แตะพื้นด้วย แค่เสียเปรียบในตอนเข้าปะทะเท่านั้น ตนไม่กล้าพูดและไม่อยากคิดว่าเป็นการตัดสินค้านสายตาหรือไม่ อยู่ที่ดุลยพินิจของกรรมการ แต่เชื่อว่าถ้ารถถังไม่ต้องแบกน้ำหนักมากกว่า 5 ปอนด์ ผลการชกไม่ออกมาแบบนี้แน่นอน
“ไม่อยากคิดว่ามีการล็อกผลการแข่งขันเอาไว้หรือไม่ เพราะตนทำค่ายมวยมา ตนทำมวยมาสู้ทุกคน อย่างไฟต์นี้รถถังเองก็เก็บตัว ซุ้มซ้อมมานานเพื่อมาป้องกันแชมป์ เพราะเขาเต็มที่และจริงจังกับทุกแมตซ์ที่ขึ้นชก”
ซ้อเอ๋ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการรีแมตซ์หรือชกแก้มือกับซุปเปอร์เล็กในครั้งต่อไปตามที่คุณชาตรีได้ประกาศเอาไว้นั้น ตนยังไม่รู้และยังไม่ตัดสินใจอะไรในตอนนี้ เพราะสำหรับตนกับรถถังแล้วถือว่าเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสมาก รูปร่างก็เสียเปรียบแถมต้องมาแบกน้ำหนักอีก ใครจะกล้ามาออกตัวมาการันตีว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในแมตซ์ล้างตาอีก และด้วยความรู้สึกอึดอัดในใจ ตนจึงได้โพสต์เฟสบุ๊คระบายความใยใจทั้งหมดที่มีไป เนื่องจากตนเห็นว่าคู่ชกของรถถังยังไม่มีความเป็นมืออาชีพทั้งๆ ที่ค่าตัวระดับล้าน แต่กลับบดน้ำหนักไม่ได้ตามพิกัดทั้ง ๆ ที่มีเวลาเตรียมตัวถึง 3 เดือน
ซ้อเอ๋ กล่าวอีกว่า ผลการตัดสินถ้าไม่มีการนับในยกที่ 2 ตนมั่นใจว่ายังไงรถถังก็ชนะแน่นอน เพราะยกแรกได้ทั้งยก ยกสองต้นยกก็ได้มาเยอะแม้จะถูกนับก็ตามก็ตาม ส่วนยกสามนั้นซุปเปอร์เล็กเดินกอดอย่างเดียวเพราะมีแผลแตกแล้ว ซึ่งคนส่วนใหญ่ผลก็มองกันว่าอย่างน้อยผลที่ออกมาก็น่าเสมอกันได้ แต่เมื่อผลตัดสินออกมาแบบนี้ตนก็ได้แต่น้อยเนื้อต่ำใจในฐานะคนเป็นแม่ที่อยากปกป้องลูก จึงได้โพสต์ลงเฟสบุ๊คไปในแบบที่ตนไม่เคยโพสต์ในลักษณะนี้มาก่อน
ซ้อเอ๋ กล่าวอีกว่า ตนรู้ว่ารถถังเจ็บปวดมากตั้งแต่เดินลงเวทีมา ตนเลี้ยงดูเขามาจึงรู้ดี เพราะอุปนิสัยของรถถังเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน เขาจะร้องตั้งแต่บนเวทีแล้ว จนกระทั่งเดินลงจากเวทีมาเห็นหน้าตน เขาก็ร้องออกมาเลยด้วยความบอบช้ำทางใจ เพราะเขาเป็นคนที่จริงจัง ทุ่มเทกับทุกไฟต์ที่ขึ้นชก ไฟต์นี้เป็นไฟต์ที่เขาซ้อมหนักมาก ตั้งใจทำน้ำหนัก อดข้าวมาหลายวัน แต่พอมาเจอคู่แข่งที่ไม่อดข้าว ไม่ลดน้ำหนักเลย เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ
“ตนจึงคิดว่าการชกรีแมตซ์กับซุปเปอร์เล็กควรตะหยุดหรือพอได้แล้ว ตนก็ไม่อยากเสียสุขภาพจิตอีกถ้าจะต้องเจอปัญหาแบบนี้ซ้ำ ส่วนสภาพจิตใจตนนั้นถ้ายังทำงานอยู่ก็ไม่คิดอะไร แต่ถ้าอยู่คนเดียวก็จะคิดตลอด ตนเป็นคนรักลูกมากๆ ทั้งลูกตนและลูกนักมวย ยอมรับว่าสภาพจิตใจตนก็เจ็บปวดไม่น้อยเช่นกัน” ซ้อเอ๋ กล่าวทิ้งท้าย
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี