ตะคริว เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายการหดตัวของกล้ามเนื้อที่รุนแรง ไม่ตั้งใจ และมักเจ็บปวด พบได้ในหลายสถานการณ์ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักเกิดกับกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ทำงานหนักอย่างต่อเนื่องในสภาพอากาศร้อน เช่น ระหว่างการออกกำลังกาย เป็นต้น แต่ก็สามารถเกิดได้ในกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ต้องทำงานซ้ำๆ และเกิดได้กรณีที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เช่น ในขณะตั้งครรภ์หรือขณะมีการฟอกไต ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของยาบางชนิด
ตะคริวที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย (Exercise-associated muscle cramp; EAMC) หมายถึง การหดตัวของกล้ามเนื้อลายที่เจ็บปวดและมีการกระตุกที่เกิดขึ้นระหว่างหรือทันทีหลังจากการออกกำลังกาย อาการที่เกิดขึ้นมักรุนแรง ทำให้ต้องหยุดหรือจำกัดการเคลื่อนไหวของแขน/ขาที่ได้รับที่มีอาการ เพื่อให้อาการทุเลาลง อาการ EAMC มักเกิดขึ้นกับนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกายหนักๆ สาเหตุของการเกิด EAMC นั้นยังไม่แน่ชัด แต่จากงานวิจัยสามารถสรุปเป็นทฤษฎีที่อธิบายการเกิดตะคริวได้เป็น 2 แนวทาง ดังนี้
1. ทฤษฎีความไม่สมดุลของโซเดียมและน้ำ (Disturbances of Water and Salt Balance) หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนที่สุดที่บ่งชี้ว่าความไม่สมดุลของเกลือแร่จากการขับเหงื่อเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการตะคริวของกล้ามเนื้อ พบได้จากการศึกษาในช่วงทศวรรษ 1920 และ 1930 ในกลุ่มคนงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่พบว่าการให้เครื่องดื่มเกลือแร่/เกลือเม็ดสามารถลดอัตราการเกิดตะคริวได้อย่างมาก โดยงานวิจัยสรุปว่าอาการตะคริวในบางกรณีมีอาการรุนแรงขึ้น อาจเกิดจากปัจจัยร่วม คือ อุณหภูมิอากาศที่สูง การดื่มน้ำมากเกินไปเนื่องจากอาการปากและคอแห้ง และการทำงานอย่างหนักต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังสังเกตได้ว่าอาการตะคริวมักจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของกะการทำงานและมักเกิด
ในผู้ชายที่มีสภาพร่างกายไม่ฟิต ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่าไม่เพียงแต่การสูญเสียเหงื่อ แต่ยังรวมถึงความเหนื่อยล้าด้วยที่เป็นปัจจัยในการเกิดอาการตะคริว และเป็นที่น่าสังเกตว่างานวิจัยนี้ไม่ได้ระบุว่าอาการตะคริวเกิดจากการขาดน้ำ หรือความเข้มข้นของอิเล็กโทรไลต์ในซีรัมที่สูงขึ้น แต่ระบุว่าเกิดจาก “ภาวะน้ำเป็นพิษในกล้ามเนื้อ” อันเนื่องมาจากการสูญเสีคลอไรด์ในปริมาณมากจากการขับเหงื่อ ดื่มน้ำเปล่ามากเกินไป และการทำงานของไตที่หยุดชะงักชั่วคราว(ในช่วงเวลานั้นการตรวจวัดคลอไรด์ในของเหลวในร่างกายทำได้ง่ายกว่าการตรวจโซเดียม; สูญเสียคลอไรด์ = สูญเสียโซเดียม) ซึ่งข้อสังเกตนี้ชี้ให้เห็นว่าการดื่มน้ำเปล่าอย่างไม่เหมาะสม (มากเกินไป) ร่วมกับการสูญเสียอิเล็กโทรไลต์จากการขับเหงื่อจำนวนมาก เป็นสาเหตุหลักของตะคริว ไม่ใช่ภาวะขาดน้ำตามที่คนจำนวนมากเข้าใจ
ต่อมาในปี 1936 Dill และคณะทำการศึกษาและสรุปได้ว่าผู้ที่มีอาการตะคริวแสดงลักษณะดังต่อไปนี้
n ภาวะขาดน้ำ
n ความเข้มข้นของโซเดียมและคลอไรด์ในพลาสมาต่ำลง
n มีโซเดียมหรือคลอไรด์ในปัสสาวะน้อยหรือไม่มีเลย
n ความเข้มข้นของโปรตีนในซีรัมสูงขึ้น
n จำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงสูงขึ้น
n ความดันออสโมติกปกติ
ลักษณะดังกล่าว ทำให้การเกิดตะคริวยากที่จะอธิบายว่ามาจากสาเหตุใด เนื่องจากลักษณะแสดงในข้อ 1, 4 และ 5 สอดคล้องกับภาวะขาดน้ำ ในขณะที่ลักษณะในข้อ 2, 3 สอดคล้องกับภาวะน้ำเกิน อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยรายงานว่าการฉีดน้ำเกลือเข้มข้นเพื่อช่วยในการปรับค่าเลือดให้กลับมาเป็นปกติ จะทำให้อาการตะคริวหายไป และเมื่อผู้วิจัยทดลองเติมเกลือลงในน้ำที่ให้กับคนงาน 12,000 คนในโรงงานแห่งหนึ่ง ขณะที่คนงานในโรงงานที่อยู่ใกล้เคียงยังคงได้รับน้ำธรรมดา ทำให้กลุ่มที่ได้รับเกลือไม่เกิดตะคริว และเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับน้ำธรรมดา พบว่ามีผู้ที่มีอาการตะคริวต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงถึง 12 คน/วัน
นอกจากนี้ จากการทบทวนวรรณพบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
1) ไม่พบความสัมพันธ์กันชัดเจนระหว่างภาวะสมดุลน้ำกับความเข้มข้นของอิเล็กโทรไลต์ในเลือดของนักกีฬาที่เกิดตะคริว อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าความเข้มข้นของอิเล็กโทรไลต์ภายในและภายนอกเซลล์อาจมีความเกี่ยวข้องมากกว่า เนื่องจากส่งผลต่อความต่างศักย์ไฟฟ้าของเซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ประสาท แต่การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของอิเล็กโทรไลต์ในเลือดจะไม่สามารถสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ ทำให้การเก็บตัวอย่างเลือดมักไม่ได้ทำในช่วงที่เกิดการตะคริว แต่จะเก็บในภายหลังจากที่อาการตะคริวหายไปแล้ว
2) นักกีฬาที่มีแนวโน้มเกิดตะคริวมักสูญเสียโซเดียมในเหงื่อมากกว่าผู้ที่ไม่เกิดตะคริว เช่น การศึกษากลุ่มนักฟุตบอลที่มีประวัติเกิดตะคริวพบว่ามีความเข้มข้นของโซเดียมในเลือดลดลงเล็กน้อยหลังการฝึก และพวกเขาบริโภคเครื่องดื่มที่ไม่มีอิเล็กโทรไลต์ (น้ำเปล่า) มากกว่ากลุ่มที่ไม่เกิดตะคริว ซึ่งทำให้เกิดการขาดดุลโซเดียมมากกว่าตลอดช่วงของการฝึกซ้อม
3) การทดลองในห้องวิจัยพบว่าการขาดน้ำร้อยละ 3 ของน้ำหนักตัว (ด้วยการอบซาวน่า) ทำให้กลุ่มตัวอย่างเกิดตะคริวเพิ่มขึ้น และการทดสอบในกล้ามเนื้อน่องของนักวิ่งในสภาพอากาศร้อน พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ดื่มน้ำเปล่าหลังจากสูญเสียเหงื่อ มีความไวต่อการเกิดตะคริวเพิ่มขึ้น ในขณะที่เมื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีอิเล็กโทรไลต์ จะมีการเกิดตะคริวลดลง
2. ทฤษฎีการควบคุมระบบประสาทผิดปกติ (Neuromuscular Control Theory) ทฤษฎีใช้อธิบายการเกิดตะคริวว่าอาจเกิดมาจาก
1) กลไกการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมการหดตัวและการคลายตัวของกล้ามเนื้ออาจถูกรบกวนในระหว่างการออกกำลังกายที่หนักและเมื่อเกิดความเมื่อยล้า (muscle fatigue) ทำให้เกิดการทำงานไม่สมดุลกันระหว่าง Muscle Spindles (ทำหน้าที่ตรวจจับการยืดตัวของกล้ามเนื้อ และส่งสัญญาณไปยังระบบประสาทเพื่อกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ; เพื่อป้องกันการยืดตัวที่มากเกินไป) กับ Golgi tendon organs (GTOs; ทำหน้าที่ตรวจจับแรงที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อและยับยั้งการหดตัวเมื่อแรงที่เกิดขึ้นมีมากเกินไป เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ) เมื่อมีความเมื่อยล้าจากการออกกำลังกายเป็นเวลานาน สมดุลนี้จะเสียไป เป็นผลให้การทำงานของ muscle spindles เพิ่มขึ้น (เกิดการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวมากเกินไป) และการทำงานของ GTOs ลดลง (ส่งผลให้กลไกการยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อลดลง) ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถคลายตัวได้ ทำให้เกิดตะคริวในที่สุด
2) ความเมื่อยล้าของระบบประสาทกล้ามเนื้อ(Neuromuscular Fatigue) เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานอย่างหนักหรือเป็นเวลานาน สัญญาณจากระบบประสาทส่วนกลางที่ส่งไปควบคุมกล้ามเนื้อจะเกิดความผิดพลาด ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถคลายตัวได้อย่างเหมาะสม
3) การขาดการยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ (Decreased Flexibility) การออกกำลังกายที่ไม่ค่อยมีการยืดกล้ามเนื้ออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดตะคริว
4) การใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำๆ (Repeated Muscle Contraction) เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานในรูปแบบที่ซ้ำๆ หรือออกแรงหนักโดยไม่มีการพัก กลไกการหดและคลายตัว
ของกล้ามเนื้อจะเสื่อมประสิทธิภาพลง
จากทฤษฎีนี้แนะนำว่าการลดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดตะคริวทำได้โดย การวอร์มอัพก่อนออกกำลังกายให้เพียงพอการยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย การปรับความหนักของการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับความฟิตของผู้ออกกำลังกาย และการพักฟื้นให้เพียงพอ (การดื่มน้ำกินอาหาร การนอนหลับ)
เอกสารอ้างอิง : Maughan, R. J., & Shirreffs, S. M. (2019). Muscle cramping during exercise : causes, solutions, and questions remaining. Sports Medicine, 49(2), 115-124.
นายภานุวัฒน์ สุวรรณโชติ และ ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ ตุ้มนาค
คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี