15 สิงหาคม 2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์ข้อความลงบนเฟสบุ๊ค วัส ติงสมิตร ระบุว่า ละครคลิปเสียง แพทองธาร - ฮุนเซน ใกล้ถึงฉากสุดท้าย (2)
หลังจากสื่อมวลชนเผยแพร่คำชี้แจงของแพทองธารต่อศาลรัฐธรรมนูญตอนที่ 1 ไปแล้ว ต่อมามีการเผยแพร่เนื้อหาในคำชี้แจงเป็นตอนๆ ต่อจนจบ ผู้เขียนจึงมีความเห็นต่อประเด็นในคำชี้แจงดังกล่าวตามลำดับ ดังนี้
1)แพทองธารอ้างว่า ที่ตนพูดว่า "อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" มีเจตนาเพียงต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ตนไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด เพราะจะต้องนำเงื่อนไขดังกล่าวไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อนเพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ นั้น
ผู้เขียนเห็นว่า ถ้อยคำที่ว่า "อยากได้อะไรก็ให้ท่าน (uncle) บอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" เป็นถ้อยคำที่ส่อแสดงให้เห็นเป็นนัยว่า ขอเพียงให้คุณอาบอกความต้องการมา ตนจะดำเนินการให้ในเวลาไม่ช้า แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าตนมีอำนาจที่จะสนองความต้องการให้ได้ หาใช่การเจรจาบนหลักการ Principled Negotiation และ Interest-Based Negotiation อันเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการเจรจาที่เน้นความร่วมมือและผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน (win-win outcome) ดังที่แพทองธารกล่าวอ้างในคำชี้แจงไม่
2) ที่แพทองธารกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น "ฝั่งตรงข้าม" เกิดจากฮุนเซนไม่พอใจแม่ทัพภาคที่ 2 ตนจึงต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบ หรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด แต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่า ฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติและไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากเป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม นั้น
ผู้เขียนเห็นว่า ถ้อยคำที่แพรทองธารกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า แพทองธารและฮุนเซนเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม หาใช่การแยกคนออกจากปัญหา (Separate the people from the problem) อันเป็นหลักการข้อหนึ่งในสี่ข้อของแนวคิดเกี่ยวกับการเจรจาที่เน้นความร่วมมือและผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน (Principled Negotiation และ Interest-Based Negotiation) ดังที่แพทองธารกล่าวอ้างในคำชี้แจงไม่
3) ที่แพทองธารอ้างว่า ฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายภายในของประเทศตน หรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้ นั้น
ผู้เขียนเห็นว่า ฮุนเซนเคยเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชามาหลายสิบปี แม้ปัจจุบัน ฮุนเซน จะปรากฏสถานะโดยเปิดเผยเป็นเพียงประธานวุฒิสภากัมพูชา แต่ในความเป็นจริงกลับปรากฏว่า ฮุนเซน มีอำนาจสูงสุดในประเทศ มิฉะนั้น แพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรีไทยคงไม่ต้องเสียเวลาหารือกับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงียมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) เพื่อรอเจรจากับฮุนเซนเป็นเวลาหลายชั่วโมง ข้ออ้างของแพทองธารในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น.
วัส ติงสมิตร
นักวิชาการอิสระ
15/8/68
.012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี