oพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

  ผ่านพ้นไปแล้ว 36 เกม เรื่องของการลุ้นแชมป์ และลุ้นหนีตกชั้นจบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมา เกมบิ๊กแมตช์ระหว่างทีมแชมป์อย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล พบกับ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล สกอร์จบลงที่ 2-2

ประเด็นสำคัญไม่ใช่เรื่องของผลการแข่งขัน แต่เป็นปฏิกิริยาของแฟนบอลในแอนฟิลด์ที่ส่งเสียงโห่ใส่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ประกาศตนเตรียมย้ายออกจากทีมแบบไม่มีค่าตัวเมื่อสัญญาหมดลงหลังจบฤดูกาลนี้

ส่วนโฟกัสหลัก ๆ คือการลุ้นพื้นที่ยุโรปที่มีแววจะต้องตัดสินจนเกมสุดท้าย สัปดาห์นี้ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลาดท่าทำได้แค่บุกไปเสมอกับ “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมบ๊วยที่ตกชั้นไปแล้ว 0-0 พลาดการทำแต้มกดดันอันดับ 2 อย่าง อาร์เซน่อล แถมพวกเขาเองก็หล่นลงมารั้งอันดับ 4 ของตาราง มีอยู่ 65 คะแนน

เพราะ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด สามารถเก็บ 3 คะแนนในถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์ค ด้วยการเอาชนะ “สิงห์บลูส์” เชลซี ที่เหลือผู้เล่น 10 คน 2-0 เก็บเพิ่มเป็น 66 คะแนน ทะยานขึ้นไปรั้งอันดับ 3 ของตาราง ตามหลัง อาร์เซน่อล แค่ 2 คะแนนเท่านั้น

ความพ่ายแพ้ของ เชลซี ในเกมนี้ทำให้สถานการณ์ของพวกเขามีความสุ่มเสี่ยงจะหลุดท็อปไฟว์เหมือนกัน แม้จะรั้งอันดับ 5 ของตาราง แต่โปรแกรม 2 เกมที่เหลือถือว่าหนักเอาการเปิดบ้านดวล “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ส่วนเกมสุดท้ายจะออกไปเยือน “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่ช่วงนี้ฟอร์มไม่ดีเท่าไหร่ ล่าสุดก็สะดุดทำได้เพียงเปิดบ้านเสมอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ตกชั้นไปแล้ว 2-2

อีกหนึ่งตัวแปรที่มีโอกาสโผล่พรวดขึ้นมาลุ้นท็อปไฟว์คือ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า ของ อูไน เอเมรี่ ชนะมา 2 เกมติด ล่าสุดบุกไปเฉือน เอเอฟซี บอร์นมัธ 1-0 รั้งอันดับมี 63 คะแนน โปรแกรม 2 เกมที่เหลือต้องดวลกับ แมนฯยูไนเต็ด และท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์

สองทีมที่ให้น้ำหนักไปกับการลุ้นแชมป์ยูโรป้า ลีก ที่จะทางลัดพาพวกเขาไปสู่โควตาแชมเปี้ยนส์ ลีก แบบอัตโนมัติ โดยสัปดาห์นี้ต่างก็แพ้ให้กับคู่แข่งคารัง แมนฯยูไนเต็ด ทำสถิติแพ้ในลีกถึง 17 เกม เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 1974 หลังพ่ายคารังให้กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 

ขณะที่ อังเก้ ปอสเตโคกลู ก็จารึกชื่อกลายเป็นผู้จัดการทีมที่พา ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ แพ้มากที่สุดในโลกถึง 20 เกมภายในฤดูกาลเดียว ทุบสถิติยอดแย่ที่ ออสซี่ อาร์ดิเลส เคยทำไว้ 19 นัด เมื่อฤดูกาล 1993-94

o บุนเดสลีกา เยอรมนี

  ในสัปดาห์นี้เป็นเกมนัดรองสุดท้ายของฤดูกาล โฟกัสหลักคือการฉลองชูถาดแชมป์ของ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ด้วยการเปิดบ้านเอาชนะ “สิงห์หนุ่ม” โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค 2-0 จากการทำประตูของ แฮร์รี่ เคน และไมเคิ่ล โอลิเซ่

หัวหอกชาวอังกฤษสมหวังกับการรอคอยแชมป์ระดับเมเจอร์รายการแรกเสียที หลังค้าแข้งมานานถึง 16 ฤดูกาล ไม่เคยได้แชมป์ใด ๆ เช่นเดียวกับ เอริค ดายเออร์ เพื่อนร่วมทีมที่ฝ่าฟันด้วยกันสมัยอยู่กับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่น่าจดจำคือการปิดฉาก 25 ปี ของ โธมัส มุลเลอร์ กับต้นสังกัด บาเยิร์น มิวนิค สโมสรที่ตัวเขาอยู่กับทีมมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ โดยเตรียมย้ายออกจากทีมเมื่อหมดสัญญาในช่วงซัมเมอร์นี้ ไม่รู้ว่าจะค้าแข้งต่อไปหรือไม่?

แต่เจ้าตัวปลาบปลื้มที่กับฉากสุดท้ายด้วยการนำแชมป์บุนเดสลีกากลับมายังสนาม อัลลิอันซ์ อารีน่า ยอมรับคงคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ และยืนยันไม่รู้สึกเสียใจ ที่ไม่ได้รับการต่อสัญญาฉบับใหม่

ทางฝั่งรองแชมป์อย่าง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ลงเล่นนัดสุดท้ายในไบย์ อารีน่า และเป็นการสั่งลา ชาบี อลอนโซ่ ที่เตรียมไปสืบทอดตำแหน่งกุนซือของ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ต่อจาก คาร์โล อันเชล็อตติ ที่โยกไปกุมบังเหียนทีมชาติบราซิล

อำลากันแบบไม่สวยเท่าไหร่พ่ายให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แบบยับเยิน 1-4 ชัยชนะในทีมนี้ทำให้ทีม “เสือเหลือง” มีลุ้นคว้าอันดับ 4 ซึ่งเป็นโควตาสุดท้ายของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แย่งกับ ไฟรบวร์ก และไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต

สองทีมที่มีแต้มเหนือกว่าพวกเขา ดอร์ทมุนด์ มี 54 คะแนน เกมสุดท้ายจะเฝ้ารังดวล โฮลสไตน์ คีล ที่ตกชั้นไปแล้ว ขณะที่ ไฟร์บวร์ก มี 55 คะแนน จะเปิดบ้านตัดกันโดยตรงกับ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต อันดับ 3 ที่มี่ 57 คะแนน

เรียกได้ว่าเกมนี้เปรียบเสมือนคู่ชิงที่มีตั๋วยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นเดิมพัน ไฟร์บวร์ก ต้องชนะสถานเดียว ส่วน แฟรงค์เฟิร์ต ผลเสมอก็เพียงพอ

oลาลีกา สเปน

  ผ่านเกมที่ 35 ของฤดูกาล “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า จ่อที่จะคว้าแชมป์หลังเปิดบ้านเฉือน “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ในเกมเอล กลาซิโก้ ไปแบบสุดมันส์ 4-3 ทำให้พวกเขาเก็บเพิ่มเป็น 82 คะแนน นำห่าง เรอัล มาดริด ถึง 7 แต้ม กับโปรแกรมที่เหลืออยู่อีก 3 เกม

นอกจากนี้การพบกับ 4 ครั้งในฤดูกาลนี้ เป็นทางฝั่ง บาร์เซโลน่า ที่สามารถเอาชนะได้ทั้งหมด พร้อมส่งตาข่ายคู่ปรับตลอดกาลถึง 16 ประตู

คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่กดแฮตทริกในเกมนี้ ทำให้เขาซัดไปแล้ว 38 ประตู จากการลงเล่น 53 เกมในทุกรายการ ทำสถิติยิงมากสุดในการเปิดตัวฤดูกาลแรกกับ เรอัล มาดริด ทุบของเดิมที่ อีวาน ซาโมราโน่ หัวหอกชาวชิลี เคยทำไว้ 37 ประตู จากการลงสนาม 45 เกม ในฤดูกาล 1992-93

ส่วนการลุ้นพื้นที่ยุโรป แอตเลติโก้ มาดริด ที่ไม่มี ฮูเลี่ยน อัลบาเรซ เพราะติดโทษแบน เปิดบ้านถล่ม เรอัล โซเซียดาด 4-0 เก็บเพิ่มเป็น 70 คะแนน แทบจะการันตีการติดท็อปโฟว์ เพราะอันดับ 5 อย่าง “เรือดำน้ำสีเหลือง” บีญาร์เรอัล ตามอยู่ถึง 9 คะแนน เฮดทูเฮด ก็เสมอกัน แต่ “ตราหมี” ลูกได้เสียดีกว่าเยอะ

ส่วนการลุ้นหนีตกชั้นยังสนุก อันดับ 19 ลาส พัลมาส มี 32 คะแนน อันดับ 18 เลกาเนส มี 34 คะแนน ตามหลังโซนปลอดภัยอย่าง เดปอร์ติโบ้ ลา กอรุนญ่า อยู่ 1 แต้ม

oกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี

ยังคงลุ้นแชมป์กันสนุก เมื่อจ่าฝูง นาโปลี ดันออกอาการขาสั่นทำได้เพียงเปิดบ้านเสมอกับเจนัว 2-2 ชนิดที่โดนตามเจ๊าในช่วงท้ายเกมนาทีที่ 84  ขณะที่ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน กลับมามั่นใจมากขึ้นบุกไปต้อน “กระทิงหิน” โตริโน่ 2-0 มีเพิ่มเป็น 77 คะแนนไล่จี้ด้วยช่องว่างที่เหลือ 1 แต้ม

สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ เจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมเซเรียอา เดือนเมษายน หลังกดไป 5 ประตู จากการลงเล่น 3 เกมในเดือนดังกล่าว ให้สัมภาษณ์เรียกสติเพื่อนร่วมทีมต้องมีความสุขุมและเยือกเย็นให้มากกว่านี้ เพราะนี่คือช่วงเวลาสำคัญ ไม่ใช่เวลาที่จะมาตื่นตระหนก

ทางฝั่ง ซิโมเน่ อินซากี้ นายใหญ่ของ อินเตอร์ มิลาน กระตุ้นลูกทีมลงเล่นอย่างมีสมาธิใน 2 เกมที่เหลือที่จะพบกับ ลาซิโอ และโคโม่

ส่วนการลุ้นพื้นที่ยุโรป อตาลันต้า ที่สัปดาห์นี้เปิดบ้านเฉือน “หมาป่าแห่งกรุงโรม” อาแอส โรม่า 2-1 มีเพิ่มเป็น 71 คะแนน การันตีการคว้าอันดับ 3 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โรม่า ของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ หยุดสถิติไม่แพ้ใครในเซเรียอา เอาไว้ที่ 19 เกม แต่ยังอยู่ในเส้นทางการลุ้นคว้าอันดับ 4 มี 63 คะแนน ตามหลังอันดับ 4 และ 5 อย่าง ยูเวนตุส และลาซิโอ แค่ 1 คะแนนเท่านั้น

ส่วนการลุ้นหนีตกชั้น มอนซ่า ไปก่อนเพื่อนการันตีอันดับสุดท้ายของตาราง ที่ยังได้ลุ้นอยู่คือ เอ็มโปลี และเลชเช่ ที่อยู่ในโซนแดงมี 28 คะแนนเท่ากัน พวกเขาตามหลังโซนปลอดภัยอย่าง เวเนเซีย อยู่ 1 คะแนน