การแข่งขันฟุตบอลลีกยุโรปฤดูกาล 2024-25 ได้จบลงอย่างเป็นทางการ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย นำพาทุกท่านไปดูบทสรุปของแต่ละลีกที่น่าสนใจ
๐ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
บทสรุปของฤดูกาลนี้จบลงด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 ของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นทีมเต็งก่อนเริ่มต้นฤดูกาล หลังต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือผู้กุมบังเหียนมายาวนานเกือบ 9 ปี ตัดสินใจอำลาทีม ก่อนจะแต่งตั้ง อาร์เน่อ ชล็อต เข้ามารับไม้ต่อ เสริมทัพเพียงแค่รายเดียวคือ เฟเดริโก้ เคียซ่า แนวรุกทีมชาติอิตาลีเพียงรายเดียวเท่านั้น
แต่กลับทำผลงานได้อย่างเหลือเชื่อเบียดกับเต็งสองอย่าง “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ก่อนที่จะสุดท้ายจะเข้าป้ายคว้าแชมป์ตั้งแต่แมตช์เดย์ที่ 34 ด้วยการเปิดแอนฟิลด์ถล่ม “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ขาดลอย 5-1
ชล็อต ในวัย 46 ปี กลายเป็นกุนซือชาวดัตช์คนแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และยังเป็นผู้จัดการทีมรายที่ 5 ที่คุมทีมคว้าแชมป์ตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงานต่อจาก โชเซ่ มูรินโญ่, คาร์โล อันเชล็อตติ, มานูเอล เปเญกรินี่ และอันโตนิโอ คอนเต้
ส่วน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมซัดไป 29 ประตู และ 18 แอสซิสต์ ทำสถิติมีส่วนร่วมกับการได้ประตูมากที่สุดเทียบเท่าของเดิมอย่าง อลัน เชียเรอร์ และแอนดี้ โคล เคยทำไว้ 47 ครั้งเท่านั้น ในฤดูกาลที่ลงเล่น 42 เกม แต่ซาลาห์ทำได้ในซีซั่นที่เล่น 38 เกม
นอกจากนี้เขายังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก รวมไปถึงสมาคมนักข่าวฟุตบอลอาชีพอังกฤษ พ่วงด้วยรองเท้าทองคำ และเพลย์เมกเกอร์ ด้วย
ฟากแชมป์เก่าอย่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องพบเจอช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพกุนซือ หลังเสียแกนกลางสำคัญอย่าง โรดรี้ ที่บาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าเข่า แพ้ถึง 9 จาก 38 เกม แต่ยังเข็นทีมจนเข้าป้ายจบอันดับ 3
ขณะที่ อาร์เซน่อล ยังคงเป็นพระรองต่อไป มิเกล อาร์เตต้า คุมทีมไร้ถ้วยรางวัลมา 5 ปีติด ก่อเกิดคำถามว่าเขาเหมาะสมที่จะนำทัพ “เดอะ กุนเนอร์ส” ต่อไปหรือไม่
ส่วนโควตาฟุตบอลยุโรป ฤดูกาลหน้าทีมจากอังกฤษไปได้เล่นถึง 9 ทีม ไล่ตั้งแต่ถ้วยใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ไปถึง 6 ทีม ได้แก่ ลิเวอร์พูล (แชมป์), อาร์เซน่อล, แมนฯซิตี้, เชลซี, นิวคาสเซิ่ล และท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในฐานะแชมป์ยูโรป้า ลีก
ถ้วยรองอย่าง ยูโรป้า ลีก ไป 2 ทีมคือ แอสตัน วิลล่า ที่จบอันดับ 7 ตามด้วย คริสตัล พาเลซ ที่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ด้วยการเอาชนะ แมนฯซิตี้ 1-0 ถือเป็นแชมป์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมาตั้งแต่ปี 1905 หรือ 119 ปี
ถ้วยเล็กสุดอย่าง ยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ทีมที่ได้ไปคือ “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ของนูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต
ส่วน แมนฯยูไนเต็ด ถือว่าเป็นซีซั่นอันเลวร้ายของพวกเขาจบอันดับ 15 ของตารางแพ้ถึง 18 จาก 38 เกมในลีก เก็บได้แค่ 42 คะแนนเท่านั้น
ปิดท้ายด้วย 3 ทีมที่ต้องตกชั้นคือ เซาธ์แฮมป์ตัน, อิปสวิช ทาวน์ และเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็น 3 ทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา สุดท้ายต้องกลับสู่ลีกล่างไปพร้อม ๆ กัน โดยได้ 3 ทีมอย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด, เบิร์นลีย์ และซันเดอร์แลนด์ ขึ้นมาแทนในฤดูกาลหน้า
๐ บุนเดสลีกา เยอรมัน
“เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ภายใต้การคุมทีมปีแรกของ แวงซองต์ ก็อมปานี กลับมาทวงบัลลังก์แชมป์จาก “ห้างขายยา” ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ได้สำเร็จ ทำผลงานได้อย่างคงเส้นคงวารันนำจ่าฝูงแบบยาว ๆ 34 เกม ชนะ 25 เสมอ 7 แพ้ 2 เก็บได้ถึง 82 คะแนน ถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 33 ของพวกเขา
ยอดหัวหอกระดับโลกอย่าง แฮร์รี่ เคน ได้เวลาสุขสมหวังเสียทีคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกในวัย 31 ปี เช่นเดียวกับ เอริค ดายเออร์ ที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาตั้งแต่สมัยอยู่กับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์
ฤดูกาลนี้เขายังรักษามาตรฐานได้อย่างยอดเยี่ยม ซัดไป 26 ประตู คว้ารางวัลดาวซัลโวพ่วงด้วยนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของบุนเดสลีกา เยอรมัน
ขณะที่ผู้มาใหม่อย่าง ไมเคิ่ล โอลิเซ่ ก็ฉายแววสตาร์ในฤดูกาลแรกที่เล่นให้กับทีมใหญ่ ยิงไป 12 ประตู และ 15 แอสซิสต์ ในลีก คว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี
ส่วน ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จบด้วยเป็นรองแชมป์แต้มห่างถึง 13 คะแนน พวกเขาต้องเสียกุนซือมือดีอย่าง ชาบี อลอนโซ่ ไปให้กับ เรอัล มาดริด ได้เอริค เทน ฮาก อดีตกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ามาคุมทีมในฤดูกาลหน้า
ที่แย่ไปกว่านั้นได้เสีย โยนาธาน ทาห์ ที่ย้ายข้ามฟากไปบาวาเรีย และ เฌเรมี่ ฟริมปง ไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล แถมยังมีแววจะเสียแกนหลักอีกหลายราย อาทิ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์, อเล็กซ์ กรีมัลโด้, โรเบิร์ต อันดริช, วิคเตอร์ โบนิเฟซ และพาทริค ชีค
โควตาฟุตบอลยุโรปฤดูกาลหน้าทีมจากเยอรมันไป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 4 ทีม ได้แก่ แชมป์อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ตามด้วย ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น อันดับ 3 อย่าง ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต และอันดับ 4 “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่รันยาวในช่วงท้ายเข้าป้ายได้สำเร็จ
ถ้วยรองอย่าง ยูโรป้า ลีก ตกเป็นของ “จิ้งจอกแห่งป่าดำ” ไฟร์บวร์ก และ “ม้าขาว” สตุ๊ตการ์ท ที่จบอันดับ 9 แต่มาในฐานะแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ส่วนถ้วยเล็กสุดคือ ไมนซ์ 05 ที่จบอันดับ 6 ของตาราง
ทีมที่ตกชั้นได้แก่ เฟาเอฟเบ โบคุ่ม และโฮลสไตน์ คีล ส่วน ไฮเดนไฮม์ ที่จบอันดับ 16 ยังได้อยู่ต่อ หลังเพลย์ออฟเอาชนะ เอสวี เอลเวอร์สแบร์ก ด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 4-3 อีก 2 ทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาจากลีกา 2 คือ “แพะบ้า” เอฟซี โคโลญจน์ และ “สิงห์เหนือ” ฮัมบูร์ก
๐ ลาลีกา สเปน
แชมป์ในฤดูกาลนี้ตกเป็นของ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ภายใต้การคุมทีมของ ฮันซี่ ฟลิค ที่เก็บได้ถึง 88 คะแนน จากการชนะ 28 เสมอ 4 แพ้ 6 นับเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 28 ของพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นในการเข้ามาทำงานปีแรกของ ฮันซี่ ฟลิค เขานำทีมเอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ในศึกเอล กลาซิโก้ ได้ทั้ง 4 เกม
เริ่มจากการบุกถล่มที่ เบร์นาเบว 4-0 ตามด้วยการกระชวกในรอบชิงซูเปร์ โกปา เด เอสปันญ่า 5-2, รอบชิงชนะเลิศ โกปา เดล เรย์ ก็ต่อเวลาพิเศษเฉือน 3-2 และปิดท้ายเฉือนเอาชนะในรังเกมลีกแบบสุดมันส์ 4-3
คีลิยัน เอ็มบัปเป้ เปิดตัวปีแรกกับ เรอัล มาดริด ด้วยผลงานส่วนตัวอันยอดเยี่ยมซัดไป 31 ประตู คว้าตำแหน่งดาวซัลโวของลีก และคว้ารางวัลรองเท้าทองคำยุโรปเอาชนะ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ของ ลิเวอร์พูล
ส่วน โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ในวัย 36 ปี ซัดไป 27 ประตูในลีก และ 42 ประตูสำหรับลงเล่นทุกรายการ ส่งผลให้เขายิงให้กับ บาร์เซโลน่า ไปแล้ว 101 ประตู จากการลงเล่น 3 ฤดูกาล
โควตาฟุตบอลยุโรปในฤดูกาลหน้า ลาลีกา สเปน ได้ไปถึง 8 ทีม ไล่จากถ้วยใหญ่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 ทีม คือบาร์เซโลน่า (แชมป์), เรอัล มาดริด (2), แอต มาดริด (3), แอธ บิลเบา (4) และบีญาร์เรอัล (5)
ยูโรป้า ลีก 2 ทีมตกเป็นของอันดับ 6 และ 7 อย่าง เรอัล เบติส และเซลต้า บีโก้ และปิดท้ายด้วยอันดับ 8 อย่าง ราโย บาเญกาโน่ ไปยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก
3 ทีมที่ต้องร่วงตกชั้นไปแก่ เรอัล บาญาโดลิด, ลาส พัลมาส และเลกาเนส เลื่อนชั้นมาในฤดูกาลหน้าตอนนี้ได้แล้ว 1 ทีมคือ เลบานเต้
๐ กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี
ลีกมะกะโรนีที่ปีนี้ไม่มีการถ่ายทอดสดกลับมาเมืองไทยในทุกแพลตฟอร์ม ต้องตัดสินกันในวันสุดท้าย กลายเป็น นาโปลี ของอันโตนิโอ คอนเต้ ที่ผงาดคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้สมัยที่ 4 ของสโมสร หลังเปิดบ้านเอาชนะ กายารี่ 2-0 เก็บได้ 82 คะแนน จากการชนะชนะ 24 เสมอ 10 แพ้ 4 เบียดแชมป์เก่าอย่าง “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน แค่ 1 คะแนน
สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่ถูกขายออกจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล หลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม 34 เกม 12 ประตู 6 แอสซิสต์
แน่นอนว่า อันโตนิโอ คอนเต้ ก็สอยรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมเช่นกัน และกลายเป็นกุนซือคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าสคูเด็ตโต้กับ 3 สโมสรที่ต่างกันได้แก่ ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน และนาโปลี
รางวัลดาวซัลโวตกเป็นของ มาเตโอ เรเตกี จากอตาลันต้า ที่ซัดไป 25 ประตู หลังถูกซื้อเข้ามาทดแทนอาการบาดเจ็บของหัวหอกตัวหลักอย่าง จานลูก้า สกามัคค่า และยังคว้ารางวัลกองหน้ายอดเยี่ยมของลีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีรางวัลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ นิโก ปาซ ดาวรุ่งชาวอาร์เจนไตน์จาก โคโม่ สอยดาวรุ่งยอดเยี่ยม, ไมล์ สวีลาร์ จากโรม่า ครองตำแหน่งผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม, กองหลังตกเป็นของ อเลสซานโดร บาสโตนี่ จากอินเตอร์ มิลาน และกองกลางคือ ทียานี่ ไรน์เดอร์ส จากเอซี มิลาน
โควตาฟุตบอลยุโรปทีมจากอิตาลีไปได้ 7 ทีม ไล่จากยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แก่ แชมป์อย่าง นาโปลี ตามด้วยอินเตอร์ มิลาน (2), อตาลันต้า (3) และยูเวนตุส (4)
ส่วนยูโรป้า ลีก ตกเป็นของ 2 ทีมอย่าง อาแอส โรม่า ที่คว้าอันดับ 5 และโบโลญญ่า แชมป์โคปปา อิตาเลีย ปิดท้ายด้วยยูฟ่า ยูโรป้า ลีก เป็นของอันดับ 6 อย่าง ฟิออเรนติน่า
ยักษ์ใหญ่อย่าง “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน จบอันดับ 8 อดไปเล่นฟุตบอลยุโรป ส่งผลให้พวกเขาตัดสินใจแยกทางกับกุนซือ แซร์จิโอ้ คอนไซเซา ทันที หลังเข้ามาทำงานได้เพียง 6 เดือน ผู้ที่จะเข้ามากอบกู้คือยอดเทรนเนอร์มากประสบการณ์อย่าง มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี
ปิดท้ายด้วย 3 ทีมที่ต้องตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บี อิตาลี ได้แก่ เอ็มโปลี, เวเนเซีย และมอนซ่า ตอนนี้ได้ 2 ทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาในฤดูกาลหน้าคือ ซาสซูโอโล่, ปิซ่า, อีกหนึ่งทีมรอเพลย์ออฟระหว่าง เครโมเนเซ่ หรือสเปเซีย
๐ ลีกเอิง ฝรั่งเศส
แชมป์ไม่ได้พลิกโผแต่อย่างใด ตกเป็นของยักษ์ใหญ่อย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่เข้าวินการันตีคว้าแชมป์ตั้งแต่แมตช์เดย์ที่ 28 เรียกได้ว่าในบรรดา 5 ลีกใหญ่ของยุโรป พวกเขาเข้าป้ายก่อนใคร เก็บได้ถึง 84 คะแนน จากการชนะ 26 เสมอ 6 แพ้ 2
นี่คือแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 13 ของสโมสรทิ้งห่างคู่ปรับตลอดกาลอย่าง โอลิมปิก มาร์กเซย ที่ได้แชมป์ครั้งสุดท้ายต้องย้อนกลับไปในฤดูกาล 2009-10 ถึง 3 ครั้ง
ทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ยังผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยอย่าง กุป เดอ ฟร็องส์ ด้วยการถล่ม แร็งส์ ไปแบบขาดลอย 3-0 ทำให้ตอนนี้พวกเขามีลุ้นคว้าเทรเบิ้ลแชมป์ เพราะเข้ารอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่จะพบกับ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน
โควตาฟุตบอลยุโรป ลีกเอิงไปได้เล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 4 ทีม คือ แชมป์อย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, โอลิมปิก มาร์กเซย์ (2), โมนาโก (3) และนีซ (4)
2 ทีมที่ได้ไปเล่นยูโรป้า ลีก ได้แก่ อันดับ 5 ลีลล์ และอันดับ 6 โอลิมปิก ลียง ส่วนเล็กสุดยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก เป็นของ สตราส์บูร์ก ที่จะจบอันดับ 7
อุสมาน เดมเบเล่ ยิงไป 21 ประตู คว้ารางวัลดาวซัลโวร่วมกับ เมสัน กรีนวู้ด จากมาร์กเซย แต่รายแรกสอยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลด้วย
ขณะที่ หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็คว้ารางวัลกุนซือยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับดาวรุ่งตกเป็นของ เดซิเร่ ดูเอ้ ที่มาจากเปแอเช เช่นกัน
ทีมที่ต้องกระเด็นตกชั้นไปเล่นลีก เดอซ์ คือ มงต์เปลลิเยร์ และแซงต์ เอเตียน รวมไปถึงอันดับ 16 อย่าง แร็งส์ ที่ไปเพลย์ออฟ แต่ดันพ่ายให้กับ เม็ตซ์ คว้าตั่วเลือนชั้นใบสุดท้ายต่อจาก ลอริยองต์ และปารีส เอฟเซ
๐ พรีไมร่า ลีกา โปรตุเกส
ปิดท้ายกันด้วยฟุตบอลพรีไมร่า ลีกา โปรตุเกส แชมป์ตกเป็นของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน เปลี่ยนโค้ชไป 3 รอบ เข้าป้ายเอาชนะ เบนฟิก้า 2 คะแนน พวกเขาเก็บได้ 82 แต้มจากการชนะ 25 เสมอ 7 แพ้ 2 ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ และเป็นสมัยที่ 21 ของพวกเขา
ทีมต้องพบเจอปัญหาหลังเสีย เทรนเนอร์คนเก่งอย่าง รูเบน อโมริม ไปให้กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ดันชูเอา เปเรยร่า จากทีมสำรองขึ้นมาคุมทัพได้เพียงเดือนเศษ ก่อนจะไปดึง รุย บอร์เกส มาจากวิตอเรีย กิมาไรส์
หลังจากนั้นทีมก็รันแบบยาว ๆ ไม่แพ้ใครเลยในลีก 19 เกมติด ชนะ 12 เสมอ 7 เข้าป้ายคว้าแชมป์ได้สำเร็จ นอกจากนี้ เทรนเนอร์วัย 43 ปี ยังพาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยด้วยการเอาชนะ เบนฟิก้า ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 3-1 จบสวย ๆ ด้วยการเป็นดับเบิ้ลแชมป์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี