 วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568
                วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568
             
								สาร ฯพณฯ คำพัน อั่นลาวัน
เอกอัครรัฐทูตวิสามัญ ผู้มีอำนาจเต็ม
แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประจำราชอาณาจักรไทย
ในวาระโอกาสเฉลิมฉลองวันสถาปนา สปป.ลาว ครบรอบ 47 ปี
(วันชาติ 2 ธันวาคม 2565)
2 ธันวาคม - เป็นวันมหาชัยที่มีความหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติลาว และ เป็นวันที่ประชาชนลาวทุกเผ่าชนทั่วประเทศ ได้มีเอกราชและผืนแผ่นดินอันครบถ้วน ภายใต้การนำพาอันปรีชาสามารถของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ได้ต่อสู้อย่างเก่งกล้าต้านกับการรุกรานของพวกล่าเมืองขึ้น ทั้งแบบเก่าและแบบใหม่เป็นเวลาหลายทศวรรษ ถึงได้รับชัยชนะและสถาปนาประเทศเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในวันที่ 2 ธันวาคม 2518 วันนี้ พรรค รัฐบาล และ ประชาชนลาวทุกเผ่าชนทั่วประเทศ มีความภาคภูมิใจเฉลิมฉลองวันชาติวันที่ 2 ธันวาคม ครบรอบ 47 ปี ด้วยบรรยากาศรุ่งโรจน์มีชัย
นับแต่วันสถาปนา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พรรคและรัฐบาลได้นำพาปวงชนชาวลาวทั้งชาติปฏิบัติสองหน้าที่ยุทธศาสตร์ เพื่อปกปักรักษาและสร้างสรรค์พัฒนาประเทศชาติให้มีความมั่นคงและความเจริญศิวิไลซ์โดยร่วมแรงร่วมใจกันเป็นก้อนกำลังที่แข็งแกร่ง ต่อสู้ผ่านพ้นฝ่าอุปสรรคและสิ่งท้าทายนานาประการเพื่อปกป้องรักษาประเทศชาติให้มีเสถียรภาพทางการเมือง สังคมมีความสงบ สามัคคีปรองดอง ยุติธรรม ศิวิไลซ์ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
ทุกเผ่าชนได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจของ สปป.ลาว เติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 6.2% ต่อปี แม้ว่าจะขยายตัวช้า แต่อัตราความยากจนของประเทศลดลงจาก 24.6% ในปี 2555 เป็น 18.3% ในปี 2561 ระดับมาตรฐานการดำรงชีวิตได้รับการปรับปรุงดีขึ้น สิ่งที่เด่นคือการเข้าถึงการบริการพื้นฐาน การศึกษาและสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม อัตราความยากจนยังคงสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค หลังการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก การเติบโตทางเศรษฐกิจของสปป.ลาว ลดลงอย่างมากที่ 3.28% ในปี 2563, 3.48% ในปี 2564 และคาดว่า GDP ในปี 2565 จะเติบโต 3.0% ลดลงจากประมาณการเดิมก่อนหน้านี้ 4%
การเฉลิมฉลองวันชาติในวันที่ 2 ธันวาคม ซึ่งครบรอบ 47 ปี ของปีนี้ ยังเป็นปีที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของลาวและราชอาณาจักรไทย เช่นเดียวกับการเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ พันคำ วิภาวัน นายกรัฐมนตรีแห่ง สปป.ลาว เมื่อวันที่ 1-2 มิถุนายน 2565 รัฐบาลของทั้งสองประเทศตกลงยกระดับความสัมพันธ์ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ลาว-ไทย เพื่อการเติบโตและการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการเปิดศักราชใหม่ของหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ลาว-ไทย นี้จะเป็นพลังขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้พัฒนาในทุกด้านเพื่อประโยชน์ร่วมกันและความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและภูมิภาคเอเชียตะวันออก ให้ก้าวหน้าต่อไป ในขณะเดียวกัน ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างทั้งสองประเทศจะช่วยสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายสำคัญของ สปป.ลาว เพื่อเปลี่ยนจากประเทศที่ไม่มีทางเชื่อมสู่ทะเลเป็นประเทศที่เชื่อมโยงทางบก (Land-locked to Land-linked)
สปป.ลาว มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งปัจจุบัน ลาวมีแหล่งผลิตไฟฟ้า 91 แหล่งในทั่วประเทศ (โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 79 แห่ง โรงไฟฟ้าพลังความร้อนถ่านหิน 1 แห่ง โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 7 แห่ง และโรงไฟฟ้าชีวมวล 4 แห่ง) มีกำลังการผลิตรวม 10,971 เมกะวัตต์ (MW) สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 56,080 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี (GWh/ปี) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 สามารถผลิตไฟฟ้าได้รวม 21,431 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง/kWh เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (20,335 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง/kWh) และคาดว่าสิ้นปี 2565 จะสามารถ ผลิตไฟฟ้าได้รวม 45,459 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง/kWh เพิ่มขึ้น 1.2% จากปี 2564 (44,915 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง/kWh)
สปป.ลาว นอกจากศักยภาพของไฟฟ้าแล้วการท่องเที่ยวก็เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของลาว ตั้งแต่เปิดประเทศในเดือนพฤษภาคม 2565 หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 โดยรัฐบาลได้ส่งเสริมและสนับสนุนภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการขนส่งให้เติบโตร้อยละ 7-8% มีจำนวนนักท่องเที่ยวถึง 1,681,000 คน ในจำนวนนี้มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามา สปป.ลาว ถึง 211,971 คน ซึ่งเกินคาดหมายแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยว 29.7% เฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางเยือน สปป.ลาว ในช่วงเวลาดังกล่าวถึง 133,206 คน ซึ่งคิดเป็น 62.8% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ในขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวภายในประเทศตามนโยบาย “ลาวเที่ยวลาว” ยังคงเติบโต โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น 16.2% จาก 615,648 คน (6 เดือนแรกของปี 2564) เป็น 756,338 คน ในปี 2565 การเปิดตัวของ รถไฟลาว-จีนในปลายปี 2564 มีส่วนช่วยในการเปิดประเทศซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ผู้โดยสารจะค่อนข้างเต็มตลอด
สปป.ลาว มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมด 2,199 แห่ง ในนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมี 1,314 แห่ง, แหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ 294 แห่ง, แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม 591 แห่ง, และได้ถูกรับรองเป็นมรดกโลก 3 แห่ง ได้แก่ นครหลวงพระบาง, วัดพูจำปาสักและทุ่งไหหินที่จังหวัดเชียงขวาง นอกจากนั้น เสียงแคนลาวก็ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกในปี 2560 ปัจจุบัน ภูหินหนามหน่อที่เมืองบัวละภา จังหวัดคำม่วน ก็อยู่ในขั้นตอนเสนอยูเนสโก (UNESCO) พิจารณาให้การรับรองเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเหมือนกัน
พรรคและรัฐบาลของ สปป.ลาว ยังคงดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง คือ สันติภาพ เอกราช มิตรภาพ และความร่วมมือที่มีผลประโยชน์ร่วมกันผ่านการขับเคลื่อนกิจกรรมที่แข็งขันของพรรคและรัฐบาลทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ความสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคีเติบโตขึ้น ทำให้บทบาทของ สปป.ลาวโดดเด่นยิ่งขึ้นในเวทีระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ปัจจุบัน สปป.ลาว มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 148 ประเทศ โดยมีสำนักงานการทูตทั้งหมด 41 แห่ง รวมถึงสถานทูตถาวรใน 27 ประเทศ สำนักงานผู้แทนถาวร 3 แห่ง สถานกงสุล 10 แห่ง สำนักงานกงสุล 1 แห่ง และสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ในต่างประเทศ 19 แห่ง สปป.ลาว มีสถานเอกอัครรัฐทูตต่างประเทศ 28 แห่ง สถานกงสุล 6 แห่ง องค์การระหว่างประเทศที่ขึ้นกับรัฐบาล 18 แห่ง และ คณะทูตต่างประเทศ 18 แห่ง เมื่อเทียบกับปี 2518 สปป.ลาว มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 44 ประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งสมาคมมิตรภาพกับ 18 ประเทศ ข้อตกลงการยกเว้นการตรวจลงตราทางการทูตได้รับการลงนามกับ 48 ประเทศ ข้อตกลงการยกเว้นการตรวจลงตราของข้าราชการกับ 46 ประเทศ ข้อตกลงการยกเว้นการตรวจลงตราแบบทวิภาคีสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดากับ 11 ประเทศ และมีจุดตรวจระหว่างประเทศ 28 แห่ง
สปป.ลาว ได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศมากกว่า 130 องค์กร เช่น UN, WTO, UNESCO, NAM, ASEAN, ACMACS, CLMVT เป็นต้น
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และ ราชอาณาจักรไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความคล้ายคลึงกันในด้านขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ศาสนา ภาษา และอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่สมัยโบราณมีพรมแดนติดต่อกันทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งก่อให้เกิดความสะดวกแก่ประชาชนทั้งสองประเทศไปมาค้าขายทำกินกันเป็นต้น ปัจจุบันความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยลาวและไทยมีกลไกความร่วมมือหลายระดับตั้งแต่ส่วนกลางจนถึงระดับท้องถิ่น ล่าสุด ฯพณฯ พันคำ วิภาวัน นายกรัฐมนตรีแห่ง สปป.ลาว และ ฯพณฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอซา นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ร่วมกันวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพลาว-ไทย แห่งที่ 5 ระหว่างจังหวัดบอลิคำไซและจังหวัดบึงกาฬ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 โครงการก่อสร้างสะพานดังกล่าวเริ่มขึ้นในต้นปี 2564 และจะเปิดให้บริการได้ในปี 2567 โดยสะพานมีความยาว 1,350 เมตร โครงการสะพานมิตรภาพ ลาว-ไทย แห่งที่ 5 เป็นโครงการสำคัญในการบูรณาการ-เชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ อนุภูมิภาค ตลอดจนโครงการบูรณาการเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่าง สปป.ลาว และไทย ผ่านทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 13 ใต้ และเส้นทางหมายเลข 8 ไปยังเวียดนามด้วยระยะทางเพียง 150 กิโลเมตร ซึ่งรัฐบาลลาวมีแผนปรับปรุงถนนให้ได้มาตรฐานเพื่อรองรับการจราจรและขนส่ง ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมการค้า-การลงทุน การบริการผ่านแดน และการท่องเที่ยวในอนาคต
ขณะเดียวกัน โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพนี้ยังเป็นหนึ่งในโครงการที่อยู่ในแผนปฏิบัติการการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน 5 ปี (พ.ศ. 2565-2569) ที่ทั้งสองประเทศลงนามร่วมกันในโอกาสที่ นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว เยือนไทยอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีไทย ระหว่างวันที่ 1-2 มิถุนายน 2565 ในโอกาสที่เยือนไทยอย่างเป็นทางการนั้น ฯพณฯ นายกฯ พันคำ วิภาวัน นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยภริยา ยังได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ณ พระราชวังดุสิต และยังได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรและการกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ลาว-ไทย นอกจากนี้ สปป.ลาว และราชอาณาจักรไทย ยังคงมีแผนสร้างสะพานมิตรภาพ ลาว-ไทย แห่งที่ 6 ระหว่าง จังหวัดสาละวัน กับ จังหวัดอุบลราชธานี
เมื่อกลางปี พ.ศ. 2565 ข้าพเจ้าในฐานะเอกอัครรัฐทูตวิสามัญ ผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประจำราชอาณาจักรไทยได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึก เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการกระชับความสัมพันธ์ ความสามัคคี และเสริมสร้างความร่วมมือให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ผู้นำระดับสูงของทั้งสองฝ่ายยังได้พบปะและเยี่ยมเยียนกันอย่างสม่ำเสมอ แม้ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ก็ยังพบปะพูดคุยกันผ่านระบบทางไกลอยู่เนืองๆ และหลังจากเปิดประเทศแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้เริ่มไปเยี่ยมเยียนกันมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด ในโอกาสที่ ฯพณฯ ไซสมพร พมวิหาน ประธานสภาแห่งชาติ สปป.ลาว เข้าร่วมการประชุมประจำปี รัฐสภาเอเชีย-แปซิฟิก (APPF) ครั้งที่ 30 ณ ราชอาณาจักรไทย ระหว่างวันที่ 26-29 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ประธานสภาลาวและไทย ทั้งสองได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐสภาทั้งสองเพื่อขยายมิตรภาพและความร่วมมือเพื่อนบ้านที่ดีระหว่าง ลาว-ไทย และไทย-ลาว ให้เจริญรุ่งเรืองบนพื้นฐานของการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เพื่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาที่ยั่งยืน อันจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ประชาชนของทั้ง 2 ชาติ ตลอดจนมีส่วนร่วมในการรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในภูมิภาคและในโลก
สปป.ลาว และ ราชอาณาจักรไทย ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตร่วมกันเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2493 มิตรภาพและความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายเติบโตอย่างต่อเนื่องและนำประโยชน์ที่แท้จริงมาสู่ทั้งสองประเทศและประชาชนลาวและไทย
ในนามเอกอัครรัฐทูต แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำราชอาณาจักรไทย ข้าพเจ้าขอเป็นตัวแทนให้รัฐบาลและประชาชนชาวลาว แสดงความขอบคุณรัฐบาลและประชาชนไทยที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลีอ และ อำนวยความสะดวกแก่สถานเอกอัครรัฐทูต และสถานกงสุลใหญ่ สปป.ลาว ประจำราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ลาวและพลเมืองลาวที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าจะสืบต่อทุ่มเททุกความพยายาม เพื่อสารต่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์มิตรภาพฐานเพื่อนบ้านใกล้เคียง ที่ดีต่อกันนี้ให้เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไป
ในวาระโอกาสอันสง่าราศีนี้ ที่ปวงชนชาวลาวทั่วประเทศเฉลิมฉลองวันชาติวันที่ 2 ธันวาคม ครบรอบ 47 ปีนี้ ข้าพเจ้าขอเป็นตัวแทนให้รัฐบาลและประชาชนชาวลาว ถวายพระพรชัยมงคลอันประเสริฐแด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ทรงพระเกษมสำราญยิ่งยืนนาน ขออวยพรชัย อันประเสริฐแด่ ฯพณฯ ทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว และภริยา ทรงมีพลานามัยสมบูรณ์ยิ่งยืนนาน
ขออวยพรให้สายสัมพันธ์มิตรภาพระหว่าง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และราชอาณาจักรไทย มีความแน่นแฟ้นไปชั่วกาลนาน
ด้วยความเคารพและนับถืออย่างสูง
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี