นายอดุลย์ กาญจนวัฒน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของทั้งสององค์กร ในการพัฒนาเทคโนโลยีและยกระดับการจัดการ โดย ธ.ก.ส.ได้สนับสนุนเงินทุนผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Chain) ตามห่วงโซ่อุปทานที่ตั้งไว้ไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้เกษตรกรเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเบื้องต้นจะเน้นกลุ่มสหกรณ์และเกษตรกรตามชนบทเป็นหลัก
หลักเกณฑ์การขอสินเชื่อจะพิจารณาตามความต้องการใช้เงินในแต่ละโครงการ เช่น หากขอสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนนำมาใช้หมุนเวียนทางการเกษตร อาจจะปล่อยสินเชื่อให้ในระยะเวลา 1 ปี แต่หากเป็นการขอสินเชื่อเพื่อเป็นเงินลงทุน อาจจะพิจารณาปล่อยกู้ให้ 5-10 ปี
“การให้สินเชื่อเกษตรกรจะพิจารณาตามความเหมาะสม โดยจะต้องดูโครงการที่ขอเข้ามาว่าเข้าตามหลักเกณฑ์ใด รวมไปถึงจะพิจารณาในส่วนของอัตราดอกเบี้ยด้วย หากไม่เข้าเกณฑ์ก็จะพิจารณาดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรน MLR-1 ซึ่งจะไม่กำหนดเพดานการปล่อยสินเชื่อจะดูตามความเหมาะสมเป็นหลัก” นายอดุลย์ กล่าว
สำหรับการจัดทำบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้เป็นการสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับจังหวัด ดังนั้นเพื่อให้การขับเคลื่อนงานดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมายจึงได้ร่วมกันจัดเสวนาในหัวข้อ การบูรณาการยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรในระหว่างวันที่ 7-9 กรกฎาคม 2557 เพื่อผลักดันให้เกษตรกรได้มีโอกาสขายผลผลิตในรูปผลิตภัณฑ์แทนที่การขายในรูปวัตถุดิบราคาถูกแบบเดิมโดยเฉพาะสินค้าเกษตร 5 กลุ่มหลักได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมันและพลังงานทดแทน
นายฐานิศร์ สุทธสุวรรณ ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า สินเชื่อValue Chain มีอายุโครงการ 3 ปี วัตถุประสงค์ เพื่อช่วยให้เกษตรกร หรือสถาบันการเกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าการผลิตในทุกๆ ขั้นตอน เช่น การแปรรูปขั้นต้น การรวบรวมผลผลิตเพื่อจำหน่ายหรือนำมาแปรรูป การจัดซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ การสร้างโรงงาน จนถึงการทำการตลาด ในพืช 9 ชนิด ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน พลังงานทดแทน ยาสูบ และโคเนื้อ ฯลฯ
สำหรับเป้าหมายในปีบัญชี 2557 คือต้องการส่วนแบ่ง 10% ของผลผลิตและขยายฐานชุมชนที่จะเข้ามาเป็นลูกค้า คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 6.5 หมื่นล้านบาท โดยจะปล่อยกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อรายคิดดอกเบี้ยที่ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี MLR โดยผู้กู้จะจ่ายดอกเบี้ยเพียง 1% เป็นช่วงปีแรก ส่วนที่เหลือรัฐบาลเป็นผู้รับภาระ ซึ่งในปีแรกตั้งเป้าหมายยกระดับพืช 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมันและพลังงาน
สำหรับปีที่ 2 ตั้งเป้าหมายเพิ่มเป็น 15% และเพิ่มเป็น 20% ในปีที่ 3 ส่วนวงเงินสินเชื่อในปีที่ 2 และ 3 จะมีการหารือปีต่อปีเพื่อตั้งเป้าหมายต่อไป ซึ่งในส่วนของเป้าหมายในชุมชน เตรียมดึงชุมชน 7,800 แห่ง เข้ามาเป็นฐานลูกค้าในปีแรกจากชุมชนทั่วประเทศกว่า 78,000 แห่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี