นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อผู้สูงวัยที่ยากไร้ ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าทำได้หรือไม่ และจะใช้เงินจากภาษีบาปจากส่วนไหนมาอุดหนุนให้คนชรา คาดว่าจะได้ข้อสรุปเบื้องต้นเพื่อเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้
นอกจากนี้ สศค.ต้องศึกษาว่าการจัดสรรเงินภาษีบาปให้กองทุนต่างๆ ในปัจจุบัน มากเกินความจำเป็นหรือไม่ เพราะบางหน่วยงานยังใช้งบประมาณได้ไม่เกิดประโยชน์ จึงต้องดูว่าในแต่ละปีหน่วยงานต่างๆมีรายได้เป็นอย่างไร และมีความต้องการใช้เงินในแต่ละปีเป็นเท่าไหร่ ส่วนที่เกินอาจจะต้องเรียกกลับมา เพื่อนำไปจัดสรรให้กองทุนเพื่อผู้สูงวัยที่ยากไร้ ซึ่งเหมาะสมกว่าไปร่างกฎหมายใหม่เพื่อเก็บภาษีเพิ่มขึ้นไปอีก
“การหารายได้มาใส่กองทุน ไม่ควรให้คลังออกกฎหมายใหม่เพิ่มการจัดเก็บภาษี เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กองทุนมีเงินใช้เกินความจำเป็น ขณะที่เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับวินัยทางการคลังซึ่งการจัดสรรเงินให้กับกองทุนเพิ่มเติม ควรจะการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายในแต่ละปีมากกว่า”นายรังสรรค์ กล่าว
ปัจจุบันการจัดเก็บภาษีบาปจากบุหรี่และสุราจะนำไปอุดหนุน 3 หน่วยงาน คือ สำนักงานกองทุนและสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในอัตรา 2% ของรายได้จากการจัดเก็บ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศ (ไทยพีบีเอส) ในอัตรา 1.5% และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ในอัตรา 2%
สำหรับกองทุนเพื่อผู้สูงวัยที่ยากไร้ เป็นนโยบายที่รัฐบาลต้องการนำมารองรับจำนวนผู้สูงอายุที่มีมากขึ้นและขาดรายได้ แม้จะมีกองทุนอย่างกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) แต่ก็มองว่ายังไม่เพียงพอ หลักการเบื้องต้นรายได้ที่จะเข้ามาอุดหนุนจะต้องมาจากการจัดเก็บภาษีบาป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี