ผู้บริหาร สภาอุตฯออกกดดันให้เร่งเปิดสัมปทาน อ้างส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน ขณะที่บริษัทแท่นขุดต้องปรับลดพนักงานลง
นายเจน นำชัยศิริ รองประธานคณะกรรมการบริหาร สถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และรองประธาน ส.อ.ท.เปิดเผยว่า ต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 อย่างเร่งด่วน เพราะถ้าหากไม่ตัดสินใจหรือดำเนินการล่าช้าอาจทำให้บริษัทก่อสร้างแท่นขุดเจาะ และสำรวจปิโตรเลียมกลางทะเล จะต้องปลดพนักงานออก และทำให้พนักงานย้ายไปกับทำงานแท่นขุดเจาะในต่างประเทศ เพราะมีความมั่นคงมากกว่า และถึงแม้ว่าไทยจะเดินหน้าโครงการในภายภาคหน้า แต่ก็อาจเกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในด้านนี้ เนื่องจากพนักงานอาจไม่กลับมาทำงานกับบริษัทเดิมได้อีก
ในส่วนของการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 และ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด จึงมีความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะผลิตก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในอนาคต อาจส่งผลผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนเนื่องจากการดำเนินนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลไม่มีความชัดเจนพอที่จะให้ผู้รับสัมปทานสำรวจ และขุดเจาะปิโตรเลียมนั้นลงทุนต่อไปอีก
นายเจน กล่าวว่า ระยะเวลาในการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมนั้นใช้เวลานานมาก ตั้งแต่เริ่มขุดเจาะสำรวจจนถึงวันแรกที่เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์อาจใช้เวลาถึง 10 ปี เห็นได้จากที่ผ่านมาไทยมีการขุดเจาะ การผลิต และการใช้ปิโตรเลียมมาเป็นเวลากว่า 40 ปี มีการเปิดสัมปทานไปแล้ว 20 รอบ โดยเฉลี่ย 2 ปีต่อหนึ่งรอบ แต่สัมปทานรอบที่ 21 ห่างจากสัมปทานรอบที่ 20 กว่า 6 ปี และในรอบที่ 20 ก็ขุดพบปิโตรเลียมน้อยมาก ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนในเชิงพาณิชย์ จึงถือได้ว่าสัมปทานรอบที่ 21 ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นไปมากแล้ว ดังนั้น หากชะลอการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมใหม่ออกไปอย่างไม่มีกำหนด จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงของพลังงานในประเทศ
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า การจัดหาพลังงานเพื่อสำรองไว้ใช้สำหรับอนาคตเป็นเรื่องจำเป็น แม้ว่าในปัจจุบันราคาพลังงานได้ปรับตัวลดลงตามราคาในตลาดโลก แต่ในอนาคตไม่รู้ว่าแนวโน้มจะเป็นอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาประเทศมหาอำนาจหลายประเทศต้องการที่มีพลังงานไว้ในมือ และในหลายประเทศพลังงานทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเมืองจึงมองว่าการมีสำรองพลังงานเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการ เพราะถ้าหากต้องรอกฎหมายจะทำให้เกิดความล่าช้าออกไปอีก
“การรอพิจารณาเรื่องกฎหมายจะทำให้เสียเวลา เสียโอกาส และถือว่าเป็นความเสี่ยงของประเทศ และกระทบต่อความเชื่อมั่นทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุน” นายสุพันธ์ กล่าว
แหล่งข่าวจาก กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า การที่รัฐบาลยังไม่สรุปเรื่องการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ทำให้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจก่อสร้างแท่นขุดเจาะ และผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลรายหนึ่ง ได้เริ่มปลดพนักงานไปแล้ว 700 คน เพราะไม่รู้ในอนาคตว่ารัฐจะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างไร จึงต้องลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไปก่อน
ก่อนหน้านี้ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน ยอมรับว่า “สอบตก”เรื่องการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 จากเดิมจะมีการพิจารณาเสร็จสิ้นในเดือนก.พ. 2558 แต่ต้องประกาศยกเลิกไป โดยจากนี้ไปจะเป็นกระบวนการเพื่อแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียม คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน3 เดือน ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขกฏหมายปิโตรเลียมจะเป็นหน้าที่ของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี