3 สถาบันภาคเอกชน ยอมทำใจเศรษฐกิจไทยปีนี้เหี่ยวเฉาหลังเศรษฐกิจโลกซบเซา ลากส่งออกติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน หวั่นการบริโภคในประเทศพังตามไปด้วย ลุ้นรัฐเร่งใช้เงินลงทุนได้ตามเป้า เพื่อช่วยประคองไม่ให้แย่ไปกว่านี้ เป็นห่วงภาคเกษตร รายได้หดกระทรวงพาณิชย์ เรียกประชุมประเมินสถานการณ์
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทยในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมสรุปภาวะเศรษฐกิจเดือนมิถุนายน ยังคงได้แรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวสะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโตถึง 53.1% จากนักท่องเที่ยวในเอเชียเป็นหลักและการเร่งตัวของการเบิกจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะงบลงทุนที่มีการเบิกจ่ายเร่งขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนการใช้จ่ายภาคเอกชนเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ จากความต้องการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าไม่คงทนที่ขยายตัว แม้การบริโภคสินค้าคงทนยังลดลงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่ลดลงจากราคาผลผลิตและสถานการณ์ภัยแล้งและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชน ส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะซ่อมแซมและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ในขณะที่เม็ดเงินลงทุนโครงการใหม่ยังมีน้อย สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง 6 เดือนติดต่อกัน
นอกจากนี้ กกร. ได้แสดงความกังวลถึงสถานการณ์ส่งออกในเดือนมิถุนายนที่ติดลบ 7.9% ซึ่งหดตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ทำให้ช่วงครึ่งปีแรก มูลค่าส่งออกติดลบไปถึง 4.8% ทำให้มีโอกาสที่การส่งออกทั้งปีจะหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน แม้ในขณะนี้ได้รับปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนลงก็ตาม อย่างไรก็ดีการหดตัวของมูลค่าส่งออกไทยหดตัวเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศผู้ส่งออกอื่นในภูมิภาค ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและอาเซียน ซึ่งยังเป็นปัจจัยท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป
นายบุญทักษ์กล่าวว่า กกร. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปยังคงต้องการแรงขับเคลื่อนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งทุกภาคส่วนต้องร่วมกันสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาคส่งออกที่มีสัญญาณอ่อนแอมากกว่าคาด ทั้งนี้ กกร.จะมีการพิจารณาประมาณการเศรษฐกิจไทย และการส่งออกปี 2558 อีกครั้งในการประชุมเดือนกันยายน โดยยอมรับว่ายังคงกังวลการส่งออกโดยเฉพาะผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกซึ่ง กกร.เคยคาดการณ์ส่งออกปีนี้จะติดลบ 2% ก็คงจะมากกว่าระดับนี้แต่จะเท่าใดต้องขอดูทิศทางอีกครั้ง ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าระดับ 8% ตั้งแต่ต้นปีในขณะนี้ของไทยถือว่าอยู่ในอัตราที่เหมาะสมและสอดรับกับภูมิภาคแล้ว ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าคณะกรรมการบริหารนโยบายการเงินหรือ กนง.น่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายระดับ 1.5% ต่อไป
นอกจากนี้ ทาง กกร. จะเสนอภาครัฐบาลให้มีการรื้อฟื้นคณะกรรมการพัฒนาการส่งออกที่มีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกฯที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานเพื่อที่จะผลักดันและเร่งรัดการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังเนื่องจากคณะกรรมการดังกล่าวมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะสามารถทำงานในเชิงรุกได้มีประสิทธิภาพกว่าโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าใน 12 กลุ่มอุตสาหกรรมที่กระทรวงพาณิชย์ผลักดัน คาดว่าจะสามารถตั้งได้ภายใน 2 เดือน
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า ขณะนี้รัฐมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนมากขึ้นก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลังแต่การส่งออกนั้นยอมรับว่าทุกตลาดทั่วโลกก็มีปัญหาหมดไม่ใช่เพียงไทย การที่เสนอตั้งคณะกรรมการพัฒนาการส่งออกก็เพื่อที่จะขจัดอุปสรรคส่งออกต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่จะมีผลต่อการส่งออกเพิ่มมากน้อยเพียงใดก็อยู่ที่หลายปัจจัยเป็นองค์ประกอบ
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาการส่งออกมีอยู่แล้วแต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพซึ่งเห็นว่าช่วงนี้น่าจะนำมาดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการส่งออกไทยจะติดลบมากแต่หากดูมูลค่าการส่งออกก็ติดลบน้อยกว่าเพราะค่าเงินบาทอ่อนมาช่วยและหากมองประเทศอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน สิ่งที่กังวลส่วนหนึ่ง
คือแรงซื้อในประเทศที่จะต้องมาดูโดยเฉพาะจากภาคเกษตรกรที่มีรายได้ลดต่ำลงโดยรัฐต้องมองมาตรการดูแลสินค้าเกษตรเป็นรายชนิดและเน้นช่วยเหลือปัจจัยการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว
ขณะเดียวกัน พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงจะมีการประเมินสถานการณ์การส่งออก และทบทวนตัวเลขการส่งออกทั้งปี 2558 ใหม่ ซึ่งในการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ วันที่ 5 ส.ค. 2558 จะประเมินสถานการณ์การส่งออก โดยเบื้องต้นคาดว่าส่งออกทั้งปีน่าจะไม่ขยายตัวเป็นบวก อาจได้ที่ประมาณ 0% แต่จะติดลบหรือไม่นั้น จะมีการหารืออีกครั้ง รวมถึงต้องรอรายงานข้อมูลจากทูตพาณิชย์ก่อน เพราะมองว่าการที่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงซบเซา ไม่มีการฟื้นตัวที่ชัดเจนอย่างที่คาดไว้ รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกยังไม่ปรับตัวสูงขึ้น มีผลต่อการส่งออกของไทย โดยการปรับเป้าส่งออกครั้งนี้จะเป็นการปรับลดลงจากเป้าเดิม 1.2%
“เราต้องยอมรับว่าตอนนี้เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวปัญหาการส่งออกติดลบก็เกิดขึ้นทั่วโลก และแม้ว่าการส่งออกของไทย ตอนนี้จะติดลบ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถือว่าติดลบน้อยกว่าหลายประเทศ และไทยยังรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ แต่อย่างไรก็ตามกระทรวงก็ยังมีการผลักดันการส่งออกอย่างเต็มที่”
ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการผลักดันการส่งออกของรัฐบาล ที่กำลังดำเนินการในขณะนี้ อาจจะช่วยเพิ่มยอดการส่งออกทันทีไม่ได้ อาจต้องใช้เวลา 3-4 เดือนหรือประมาณช่วงต้นปีหน้า จึงจะปรากฏผลชัดเจน ขณะเดียวกันตนเห็นว่าการที่สถานการณ์ส่งออกไม่ดี จะเป็นโอกาสดีให้เราหันมากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น โดยขณะนี้รัฐบาลเองก็ได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อประชาชน โดยคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้อนุมัติงบประมาณ 6,000 ล้านบาทผ่านกระทรวงมหาดไทย กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเกิดรายได้ โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในเดือน ก.ย.2558 นี้ และจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีได้
สำหรับความคืบหน้าในการเรียกประชุมคณะกรรมการพัฒนาการส่งออกแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานนั้น พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ผ่านความเห็นชอบในการจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวไปแล้ว ส่วนที่มีปัญหายังไม่ประกาศในราชกิจจานุเบกษานั้น จะดำเนินการติดตาม เพื่อให้มีการประชุมนัดแรกได้ เร็วๆ นี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี