นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวภายหลังมอบนโยบายให้ข้าราชการกรมในโอกาสเข้ารับตำแหน่งวันแรก ว่า ได้กำชับให้เร่งรัดการจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2559 ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 1.2 แสนล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการตั้งแต่ต้นปีงบประมาณทันที หลังจากในปีงบประมาณ 2558 จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 7,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1.168 แสนบาท เป็นผลมาจากเศรษฐกิจชะลอตัวไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวได้ 4% และการเว้นจัดเก็บอากร 1,500 รายการ ทั้งนี้การจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 7,000 ล้านบาท ถือว่ายังดีกว่าที่คาดไว้เดิมว่าจะต่ำกว่าเป้าหมาย 1.2 หมื่นล้านบาท

“ผมไม่หนักใจกับตำแหน่งอธิบดีศุลกากร ผมจะมาสร้างฝีมือที่นี่ แม้ว่าผมจะมาตัวคนเดียว แต่ผมจะทำงานเป็นทีม ซึ่งข้าราชการกรมทุกคนเป็นทีมเดียวกันกับผมแล้ว” นายกุลิศ กล่าว

นายกุลิศกล่าวว่าพร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้สนับสนุนนโยบายภาครัฐ ในการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ และสนับสนุนกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกในรูปแบบคลัสเตอร์ โดยให้เจ้าหน้าที่ไปพิจารณาขั้นตอน ระเบียบ เอกสาร ให้ผู้ประกอบการผ่านขั้นตอนศุลกากรให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะพิกัดภาษีต่างๆต้องให้มีความคล่องตัว เป็นมาตรฐานที่ทุกด่านศุลกากร ใช้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันได้

นอกจากนี้ยังสั่งการให้ดำเนินการจัดทำโรดแมป การเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (National Single Window) ให้เกิดขึ้นได้เร็วที่สุด หลังจากที่ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2538 โดยกรมศุลกากรจะต้องไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเชื่อมโยงข้อมูล หลังจากที่ดำเนินการแล้ว จะสามารถนำไปเชื่อมกับระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ( E-Payment) ตามนโยบายของ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีการหารือร่วมกับภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ด้วย

ขณะเดียวกันยังต้องเร่งผลักดันนโยบายด่านศุลกากรให้มีความทันสมัย ทำงานแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ เช่นเดียวกับด่านศุลกากรในต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเริ่มที่ด่านใดก่อน เช่น สะเดา เชียงของ โดยการพัฒนาด่านจะนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดขั้นตอนทางศุลกากร ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 6 เดือน นอกจากนี้ยังต้องเร่งจัดทำระบบฐานภาษี 3 กรม ซึ่งประกอบด้วยกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศุลกรให้เป็นฐานเดียวกัน เพื่อป้องกันการรั่วไหลการจัดเก็บภาษีด้วย