พาณิชย์ เผยตัวการส่งออกปี’58 ติดลบ 5.78% แจงราคาน้ำมันดิบตกต่ำ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าทรุดตัว กดดันราคาสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมลดลงอย่างหนัก ยางพาราหนักทรุดวูบ 25% ส่วนข้าว 22% เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก รถยนต์และส่วนประกอบ ดิ่งยกแผง ยอมรับปี’59 ก็ยังต้องลุ้น ปัจจัยลบเดิมยังอยู่
นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทย ว่า การส่งออกทั้งปี 2558 มีมูลค่าการส่งออก 214,375 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 5.78% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการติดลบสูงสุดในรอบ 6 ปี หลังจากในปี 2552 เคยติดลบสูงสุด ติดลบ 14.3% โดยราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการส่งออกของไทย อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าว่าส่งออกทั้งปี 2558 จะติดลบใกล้เคียงระดับ ติดลบ 5.5%
ส่วนการส่งออกของไทยเดือน ธ.ค. 2558 มีมูลค่า 17,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 8.73% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่อง 12 เดือนนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2558 เป็นต้นมา โดยการส่งออกที่ลดลดเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกโลกที่ไม่ฟื้นตัว เศรษฐกิจของตลาดคู่ค้าหลักชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ส่งผลให้การนำเข้าของเกือบทุกประเทศทั่วโลกยังคงหดตัว และราคาน้ำมันโลกที่ลดลง ส่งผลต่อสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีราคาลดลง รวมถึงราคาสินค้าเกษตรโลกอยู่ในระดับต่ำ
นายสมเกียรติกล่าวอีกว่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเดือน ธ.ค. มูลค่าลดลง 9.8% และทั้งปีลดลง 7.4% ตามราคาสินค้าเกษตรโลกที่ชะลอตัว ซึ่งสินค้าเกษตรที่มูลค่าลดลง เช่น ยางพาราลดลง 25.2% อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ลดลง 10.9% ข้าว ลดลง 22.5% และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ลดลง 25.2% ส่วนสินค้าที่มูลค่ายังขยายตัว เช่น ผลไม้สด แช่แข็งและแห้ง ขยายตัว 68.7% ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 20.7% เครื่องดื่ม ขยายตัว
10.1% และไก่แปรรูป ขยายตัว 4.8%
ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เดือน ธ.ค. มูลค่าลดลง 6.7% และทั้งปีลดลง 4% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลดลงของสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหรืออุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบ ซึ่งมาจากการกลั่นปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และการสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญอย่างทองคำก็ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ที่ลดลง 34.8% เพราะราคาทองคำในตลาดโลกที่เริ่มชะลอตัวลง รวมถึงมูลค่าส่งออกกลุ่มรถยนต์และส่วนประกอบ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยก็ลดลง 0.6% เพราะช่วงก่อนหน้ามีการเร่งส่งออก แต่ทั้งปี 2558 ก็ถือว่าการส่งออกกลุ่มรถยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวได้ดีที่ 4.3% มีจำนวนรถยนต์ที่ส่งออก 1,204,895 คัน ซึ่งเป็นไปตามจำนวนเป้าหมายที่ 1.2 ล้านคัน ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ มูลค่าส่งออกของไทยชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก
สำหรับการนำเข้าในเดือน ธ.ค. มีมูลค่า 15,613 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 9.23% โดยสินค้าที่นำเข้าลดลงส่วนใหญ่คืออาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ ลดลง 65.24% กลุ่มเชื้อเพลิง ลดลง 25.73% และสินค้าทุน ลดลง 7.96% ส่งผลให้ทั้งปี 2558 การนำเข้าของไทยมีมูลค่า 202,654 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 11.02%
“ปัจจัยหลักยังคงมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งราคาน้ำมันที่ลดลง กระทบมูลค่าส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก โดยราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบ ในเดือนธันวาคม อยู่ที่ 34.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเดือนธันวาคมปี’57 เฉลี่ยถึง 60.39 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ตลอดทั้งปี 2558 ราคาน้ำมันเฉลี่ยลดลงถึง 47% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยังคงมีทิศทางลดลงต่อเนื่องไปจนถึงปี59 ทำให้ภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ลดลง รวมทั้งยังเป็นตัวกดดันให้ราคาสินค้าเกษตรโลกตกต่ำ”
อย่างไรก็ตาม การส่งออกไทย ยังหดตัวน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ที่ IMF ประเมินว่า มูลค่าการส่งออกของโลกในปี’58 จะลดลงถึง 11.7% รวมทั้งยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดในประเทศคู่ค้าสำคัญไว้ได้ สะท้อนว่าความสามารถทางการแข่งขันของไทยไม่ได้ลดลงตามมูลค่าส่งออก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ยังต้องเดินหน้าเจาะตลาดเชิงลึก ตามนโยบายรัฐบาล รวมทั้งแนวโน้มการส่งออกในอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะรถยนต์และส่วนประกอบ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยมีแนวโน้มดีขึ้นแล้ว จึงยังยืนยันเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ ให้ขยายตัว 5% ซึ่งมูลค่าการส่งออก อาจจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ตั้งแต่เดือนมกราคม หากมูลค่าส่งออกเกิน 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์จากราคาน้ำมัน หากปรับลดลงมากจะกระทบต่อประเทศผู้ผลิต ที่จะนำเข้าสินค้าไทย
ส่วนในปี 2559 กระทรวงตั้งเป้าส่งออกจะขยายตัว 5% โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือราคาน้ำมัน ซึ่งขณะนี้ในเดือน ม.ค. 2559 เฉลี่ยอยู่ในระดับ 25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล การดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีผลต่อค่าเงินบาทของไทย ภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งล่าสุด IMF ได้ปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก(จีดีพี)
ในปี 2559 ลงจากเดิมที่จะขยายตัว 3.6% เหลือ 3.4% ปรับคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบจาก 51.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เหลือ 42.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะพยายามผลักดันการส่งออกของไทยในปีนี้ให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายไว้
“หากราคาน้ำมันไม่ลดลงต่ำลงอีก ก็เชื่อว่าในไตรมาสที่ 1 การส่งออกของไทยจะเป็นบวก โดยในเดือน ม.ค. นี้ หากส่งออกมีมูลค่า 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การส่งออกก็จะเป็นบวก ซึ่งสิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือเรื่องของราคาน้ำมัน เพราะราคาน้ำมันที่ลดลงจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันให้มีปัญหา ทำให้ขาดรายได้ และจะกระทบเกี่ยวเนื่องต่อการนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย โดยปี 2558 ที่ผ่านมาประเทศแถบตะวันออกกลางนำเข้าสินค้าจากไทยลดลง 10%”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี