สอท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมต่ำสุดรอบ 4 เดือน หลังเศรษฐกิจโลกทรุด ภัยแล้งซ้ำ แนะรัฐชะลอลงทุนรถไฟความเร็วสูงมาลงทุนด้านการบริหารจัดการน้ำเพื่อดูแลภาคเกษตรกรระยะยาว ด้าน “บัณฑูร “ชี้ โอกาสเศรษฐกิจโต 3.5% เป็นไปได้ยาก หลังไตรมาสแรกยังซบเซา ค้านลดดอกเบี้ยไม่ช่วยกระตุ้น เพราะคนไม่มีกำลังซื้อ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทย (TISI) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 พบว่าค่าดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 85.1 ลดลงจาก 86.3 ในเดือนมกราคม โดยเป็นค่าดัชนีฯ ที่ต่ำสุดรอบ 4 เดือนนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2558 และยังลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 สาเหตุมาจากความกังวลต่อการชะลอตัวของอุปสงค์และกำลังซื้อในภูมิภาค ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาเศรษฐกิจโลกยังไม่คลี่คลาย ทำให้ผู้ประกอบการระมัดระวังในการขยายการลงทุน อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่าสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวันยังมีความต้องการต่อเนื่องเห็นได้จากดัชนียอดคำสั่งซื้อและยอดขายที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร น้ำตาล น้ำมันปาล์ม เครื่องสำอาง และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 100.1 ลดลงจากระดับ 100.8 ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นค่าดัชนีฯ ที่ลดต่ำสุดในรอบ 8 เดือนนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2558 เพราะผู้ประกอบการยังกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ภัยแล้ง ปัญหาสภาพคล่องของ SMEs ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและราคาน้ำมัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องการให้ภาครัฐ
เร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาตลาดหลัก ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมให้กับสินค้า เพื่อสร้างโอกาสและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าไทย และให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) และการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่าน E-Commerce

ขณะนี้เอกชนมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างมากแพราะเกรงว่าจะมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกลงอีก และเชื่อว่าแม้แต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็คงจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพราะจะกระทบต่อการบริโภคของโลกที่ลดลงและจะสะท้อนมายังการนำเข้าและส่งออกสินค้าโดยรวมขณะที่ภาวะภัยแล้งกลายเป็นสิ่งที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศค่อนข้างมากดังนั้นรัฐบาลควรแก้ปัญหาภาคเกษตรแบบยั่งยืนด้วยการเร่งลงทุนระบบน้ำ หากรัฐมีปัญหาด้านเม็ดเงินลงทุนก็สามารถชะลอการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงได้เพราะเห็นว่ายังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนหากเทียบกับรถไฟระบบรางคู่ที่จะใช้ขนสินค้า

“รัฐบาลทำหลายอย่างเพื่อกระตุ้นแรงซื้อแต่เงินก็ไม่ถึงประชาชนรวดเร็ว ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาได้แจกเงินถึงมือประชาชนแต่ก็เป็นประชานิยมทุกอย่างมีข้อดีและเสีย แต่ถึงใครเป็นรัฐบาลขณะนี้ก็ลำบากเพราะเศรษฐกิจทั้งในและนอกแย่หมดก็ต้องอดทนจนกว่าเงินจะไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากกว่านี้ ขณะที่ภัยแล้งก็ฉุดแรงซื้อภาคเกษตรไปมาก จึงเห็นว่าระบบน้ำสำคัญมากเพราะถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม แต่ก็เข้าใจว่ารัฐเองกำลังพิจารณางบน้ำ 3.5 แสนล้านบาทอยู่แต่ก็อยากให้เร่ง” นายสุพันธุ์กล่าว

ทั้งนี้วันที่ 29 มีนาคมนี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)จะมีรณรงค์ของภาคการผลิตและบริการส่วนของเอกชนลดใช้น้ำ 30% ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2559จากนั้นเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนเชื่อว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยต้นปี 2559 ยังฟื้นตัวได้น้อย หากในช่วงที่เหลือของปีเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว หรือ โตต่ำ โอกาสที่จีดีพีปีนี้จะโตได้ 3.5% คงแม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะใช้ทั้งมาตรการการเงินการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เหมือนกับทุกประเทศทั่วโลก แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะเหมือนกับโรคที่ดื้อยา จึงมีแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นว่าการใช้ดอกเบี้ยต่ำก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เนื่องจากไม่มีคนกู้ ภาคอุตสาหกรรมไม่มีการเพิ่มกำลังการผลิต แม้จะลดดอกเบี้ยก็แก้ไม่ได้ เหมือนกับที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังเผชิญปัญหาอยู่ในขณะนี้

ส่วนภาวะการส่งออกปีนี้ก็ยังติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่3เพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวกำลังซื้อถดถอย อีกทั้งมีปัจจัยลบจาก
สภาพอากาศที่แปรปรวนเช่นภัยแล้งขณะที่การลงทุนโครงการลงทุนภาครัฐซึ่งเป็นตัวหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจแต่ก็ยังติดขัด ปัญหาสิ่งแวดล้อม การแบ่งผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว ทำให้โครงการล่าช้า ทางแก้ก็คือรัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจชี้ขาดในโครงการต่างๆที่ยังค้างอยู่ เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้

สำหรับเรื่องที่ยังไม่มีการเลือกตั้งนั้นมองว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคของการลงทุนของต่างชาติ เนื่องจากประชาธิปไตยของแต่ละประเทศมีรูปแบบแตกต่างกัน สำหรับประเทศไทยการที่ประชาชนแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวางก็ถือเป็นประชาธิปไตยรูปแบบหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือ สังคมต้องไม่ทะเลาะกัน ต้องมีผู้ตัดสินใจชี้ขาด