สมคิดรับศก.ไทยไส้ในกลวง
ต้องใช้เวลา5-6ปีปฏิรูปหลายด้าน
ทนงชี้‘ดบ.-ว่างงาน’ต่ำแต่ลงทุนกลับซบเซา
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษในงาน “นิด้า 5 ทศวรรษกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ว่า ขณะนี้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรง จากปัญหาและอุปสรรคภายใน ดังนั้นหากไม่เร่งปฏิรูปในด้านต่างๆในช่วง 5-6 ปี ข้างหน้า จีดีพีของไทยจะขยายตัวแบบไม่ยั่งยืนและลดต่ำกว่า 3% อย่างแน่นอน ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องใช้โอกาสในช่วง 2 ปีนี้ เร่งรัดการปฏิรูปในด้านต่างๆ เพื่อให้มีความเข้มแข็งมาจากภายใน ประกอบด้วย 1.การเปลี่ยนจากภาคเกษตรปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อขายผลผลิตเพียงอย่างเดียว ปรับมาเป็นปลูกพืชหลากหลายตามความต้องการของตลาด นำไปสู่การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้ภาคเกษตรมีความเข้มแข็ง เพราะขณะนี้รัฐบาลได้พยายามส่งเสริมตลาดประชารัฐ ผลักดันห้างสรรพสินค้าช่วยเป็นตลาดรับซื้อ การให้สินเชื่อจากแบงก์รัฐเพื่อเติมทุนให้ภาคเกษตร
2.การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ผ่านการใช้บทวิจัย แนวคิดนวัตกรรมใหม่มาปรับใช้ในเชิงธุรกิจ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทย ต่อไปหากต้องการขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอต้องมีเงื่อนไขการเน้นวิจัยและพัฒนา 3.การสร้างศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการใหม่ เพื่อเน้นทางเอสเอ็มอีรายใหม่ที่ผ่านการพัฒนาด้วยพื้นฐานเทคโนโลยี ในการนำสินค้าเดิมที่มีอยู่มาต่อยอดกับการออกแบบ ผ่านการสนับสนุนโดยเอกชนรายใหญ่ และรัฐบาลสนับสนุน 4.ต้องการส่งเสริมให้มหาวิทยาลัย ปรับปรุงหลักสูตรพัฒนาแนวคิดให้นักศึกษา ใช้แนวคิดใหม่ผ่านหลักสูตรคณิตศาสตร์ประยุกต์ การวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อนำไปปรับใช้ในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม
ด้าน นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน มีอัตราการว่างงานต่ำมากไม่ถึง 1% อัตราเงินเฟ้อแทบติดลบ อัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่การลงทุนไม่ขยับตัว การบริโภคไม่ขยายเพิ่ม จึงทำให้เศรษฐกิจไม่เกิดการหมุนเวียน การว่างงานต่ำมากจึงดูเหมือนคนมีงานทำทุกคน แต่ผลิตภาพและผลผลิตกลับไม่มีคุณภาพ นับเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ซึ่งต้องเร่งทำการปฏิรูป เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมานับว่าขาดคุณภาพ
“เพื่อพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต้องปรับทัศนคติ ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้กับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความพอดี ทั้งการสร้างหนี้สิน ขยายกิจการ ภาครัฐต้องสร้างจิตสำนึกธรรมาภิบาลให้เกิดกับทุกภาคส่วน จากนั้นเร่งผลักดันภาคเกษตรพัฒนาไปสู่ภาคอุตสาหกรรมแปรรูปหรือภาคบริการ เพราะภาคเกษตรไทยมีสัดส่วนถึง 40 % ของประชากรทั้งหมด ในช่วง 10 ปีข้างหน้าต้องลดภาคเกษตรให้ได้กว่า 10 ล้านคน เฉลี่ยปีละ 1 ล้านคน คาดว่าจะสร้างกำลังซื้อและพัฒนาประชาชนให้มีคุณภาพสูงขึ้นในอนาคต”
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่า ที่ประเมินไว้ กนง.จึงได้ปรับลดประมาณการปีนี้เหลือโต 3.1%จากเดิมคาดโต 3.5% ทั้งนี้ปัจจัยด้านลบที่มาจากต่างประเทศแย่กว่าคาด โดยเฉพาะการส่งออกของไทยฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด จึงได้ลดประมาณการส่งออกลงเป็นหดตัว 2% จากเดิมมองว่าทรงตัว หรือไม่ขยายตัว มีผลต่อทั้งการบริโภคและการลงทุนในประเทศให้ชะลอลง และการส่งออกของไทยยังเผชิญปัญหาโครงสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยน้อยลงต้องใช้เวลาในการแก้ไข
อย่างไรก็ตาม กนง. พร้อมติดตามปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีน ที่ปรับลงแรงกว่านี้ กนง.ก็สามารถใช้นโยบายการเงินมาช่วยดูแล อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยต้องการให้จีดีพีขยายตัวได้สูงถึง 3.5-4% ต้องเร่งการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งหากมีการลงทุนภาครัฐ และ เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน การลงทุนภาคเอกชนจะมากกว่านี้
ด้านนางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 3 ในช่วงสงกรานต์ เป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย โดยมาตรการดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับมาตรการช็อปช่วยชาติ ที่ออกมาในช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่คงไม่ใช่ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แท้จริง โดยเห็นว่าผู้บริโภคบางกลุ่มยังมีกำลังซื้อ แต่ยังขาดความมั่นใจในการจับจ่ายขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ที่อยู่ในภาคการเกษตร รายได้ยังต่ำ ทำให้เป็นตัวเหนี่ยวรั้งการฟื้นตัวของการบริโภค
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี