นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่าผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของไทยในเดือนพฤศจิกายน 2559 อยู่ที่ระดับ 87.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคมอยู่ที่ระดับ 86.5 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และเป็นการปรับตัวสูงสุดในรอบ 20 เดือนเทียบกับเดือนเมษายน 2558 อยู่ที่ 86.2 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงปลายปีทำให้มีการผลิตเพื่อรองรับบรรยากาศการใช้จ่ายภายในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้เห็นได้จากดัชนี ปริมาณการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น อาทิ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มอัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการมีการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นยอดขายในหลายอุตสาหกรรมซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมของการประกอบการในเดือนนี้
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการในเดือนพฤศจิกายน 2559 ซึ่งผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้นได้แก่สภาวะเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมัน ส่วนปัจจัยที่กังวลลดลง ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน สถานการณ์การเมืองในประเทศ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในระดับทรงตัว
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 102 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 102.9 เพราะผู้ประกอบการยังกังวลต่อราคาวัตถุดิบ การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน และราคาน้ำมัน ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถือว่าค่าดัชนียังมีค่าเกิน 100 เนื่องจากผู้ประกอบการเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะมีทิศทางที่ดีขึ้นในปี 2560
นายเจนกล่าวว่ามั่นใจภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2560 ปรับตัวดีขึ้นหากไม่มีปัจจัยลบเช่น เหตุการณ์ความไม่สงบหรือการก่อการร้าย โดยคาดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีหน้าโต 3.5-4% การส่งออกโต 0-2% จากปัจจัยบวกทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกชน ภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัว ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นจากอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกัน
ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงเรื่องการดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐให้มีความชัดเจน การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีหน้าอีก 3 ครั้ง รวมถึงนโยบายในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) ที่สมาชิกในอียูหลายประเทศจะมีการเลือกตั้งใหม่ ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายด้านเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนในตลาดการเงินโลกผันผวน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สอท.กล่าวว่ายอดส่งออกรถยนต์รวมปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1.19 ล้านคันต่ำกว่าเป้าหมายการส่งออกที่ตั้งไว้อยู่ที่ 1.22 ล้านคัน เห็นได้จากยอดรวมส่งออกรถยนต์ 11 เดือนลดลงจากช่วงเดียวกับปีก่อน 1.42%อยู่ที่ 1,102,395 คันโดยในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีจะมียอดส่งออกประมาณ 80,000-90,000 คัน น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายนเป็นปกติอยู่แล้ว ส่งผลให้ยอดส่งออกรถยนต์โดยรวมปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือนพฤศจิกายน 2559 ลดลงจากช่วงเดียวกับปีก่อน 15.3% อยู่ที่ 64,771 คันเนื่องจากปลายปีที่แล้วเริ่มเร่งซื้อรถยนต์มากขึ้นจากภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่มีผลปรับขึ้นไปเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา แต่เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมามีการจัดงานมหกรรมยานยนต์“มอเตอร์ เอ็กซ์โป” มียอดจองรถยนต์ 32,422 คัน ทำให้มั่นใจว่ายอดขายเดือนสุดท้ายของปีนี้น่าจะอยู่ที่ 70,000 คันเป็นแรงส่งให้ยอดขายทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด 750,000 คัน
“มั่นใจว่ายอดรวมการผลิตรถยนต์ปีนี้ทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมายคาดไว้อยู่ที่ 1,950,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 1.93% เพราะปกติช่วงเดือนธันวาคมจะมียอดผลิตรถยนต์ไม่ต่ำกว่า 150,000 คัน รวมกับยอดผลิตรถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 11 เดือนของปีนี้ (มกราคม-พฤศจิกายน) มีทั้งสิ้น 1,808,625 คัน เพิ่มขึ้น 2.74% ทำให้ยอดผลิตรวมปีนี้เป็นไปตามคาด
อย่างไรก็ตาม คำสั่งซื้อที่มีเข้ามามากขึ้นทั้งในส่วนของรถยนต์นั่ง 11 เดือนเพิ่มขึ้น 6.1%อยู่ที่ 755,065 คัน รถยนต์บรรทุกเพิ่มขึ้น 0.49% อยู่ที่ 1,053,384 คันและรถกระบะขนาด 1 ตัน เพิ่มขึ้น 0.37% อยู่ที่ 1,026,197 คัน สะท้อนกำลังซื้อในประเทศค่อยๆฟื้นตัวทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้าน่าจะฟื้นตัวได้ดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี