นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) สายการลงทุนเปิดเผยว่าสถานการณ์การลงทุนของภาคเอกชนช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2561) พบว่าขยายตัวดีขึ้นโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) บางกลุ่ม เพราะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกทำให้การส่งออกเติบโตต่อเนื่อง โดยเดือนมกราคม 2561 ส่งออกขยายตัว 11% กุมภาพันธ์ขยายตัวกว่า 8% และคาดว่าเดือนมีนาคมจะขยายตัวระดับใกล้เคียงกันซึ่งผลจากการเติบโตของส่งออกทำให้ภาคเอกชนใช้กำลังผลิตมากขึ้นในบางอุตสาหกรรม อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ สูงถึง 70-80% ถือว่าสูงมาก ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เอกชนต้องขยายกำลังผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อ
สำหรับนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และอยู่ในขั้นตอนการเตรียมประกาศใช้อย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ นับว่าเรียกความเชื่อมั่นจากภาคเอกชนได้อย่างมาก ส่วนการลงทุนของเอกชนนั้น ต้องรอความชัดเจนจากโครงสร้างพื้นฐานก่อน ดังนั้น การลงทุนใหม่ต้องใช้เวลาเป็นปี ตอนนี้จึงเน้นขยายลงทุนของเอกชนในพื้นที่ก่อน ด้านนโยบายพลังงานที่รัฐบาลให้ศึกษาความเหมาะสมของโรงไฟฟ้าภาคใต้ใหม่ พร้อมระบุว่าไฟฟ้าภาคใต้มีเพียงพอและเตรียมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเติมนั้น ในส่วนของภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลคำนึงถึงต้นทุนค่าไฟฟ้าให้มาก เพราะหากพลังงานทดแทนทำให้ต้นทุนค่าไฟสูงจนกระทบต่อการแข่งขันของอุตสาหกรรมก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลควรประเมินอย่างรอบด้าน
“แม้ภาพรวมการลงทุนของเอกชนจะดีแต่เอสเอ็มอีที่พึ่งพาตลาดในประเทศ เป็นกลุ่มที่ต้อง เฝ้าระวัง เพราะขณะนี้กำลังซื้อในประเทศค่อนข้างทรงตัว ราคาสินค้าเกษตรไม่ค่อยดีนัก ทำให้สถานการณ์เอสเอ็มอีไม่หวือหวาเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม จากมาตรการสินเชื่อเอสเอ็มอี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคน่าจะทำให้เอสเอ็มอีกลับมาคึกคักในช่วงไตรมาส 3 หรือตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป” นายเกรียงไกรกล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม แจ้งว่าการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน(ร.ง.4) และขยายกิจการในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2561 มีจำนวนโรงงานรวมทั้งสิ้น 758 โรงงาน เพิ่มขึ้น 7.51% จากช่วงเดียวกันในปี 2560 ที่มีอยู่ 705 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 5.23 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 5.16 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการเปิดกิจการใหม่ 630 โรงงาน เพิ่มขึ้น 8.24% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีอยู่ 582 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 2.86 หมื่นล้านบาท ลดลง 11.18% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 3.22 หมื่นล้านบาท ขณะที่การขยายกิจการจำนวน 128 โรงงาน เพิ่มขึ้น 4.06% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีอยู่ 123 โรงงาน ขณะที่มูลค่าการลงทุน 2.37 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.79% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.93 หมื่นล้านบาท
อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนมากที่สุด ได้แก่ อุตฯอาหาร 1.04 หมื่นล้านบาท ผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์รวมทั้งการซ่อมยานพาหนะและอุปกรณ์ 1.02 หมื่นล้านบาท อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง 6.05 พันล้านบาท เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 4.78 พันล้านบาท อุตฯแปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ 3.23 พันล้านบาท
ส่วนการลงทุนเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ พบว่า ยอดขอร.ง.4 และขยายกิจการทั้งสิ้น 351 โรงงาน เพิ่มขึ้น 0.57% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 349 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 2.94 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.48% จากช่วงเดียวกันอยู่ที่ 2.42 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการเปิดกิจการใหม่ 286 โรงงาน เพิ่มขึ้น 1.06% จากช่วงเดียวกัน 283 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 1.32 หมื่นล้านบาทลดลง 4.34% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.38 หมื่นล้านบาท ส่วนการขยายกิจการมี 65 โรงงาน ลดลง 1.51% จาก 66 โรงงาน มูลค่าลงทุน 1.61 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.84% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.04 หมื่นล้านบาท
จากนโยบายอีอีซีในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พบว่า จ.ชลบุรี มีการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ ร.ง.4 และขยายกิจการมากที่สุดจำนวน 12 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 2.37 พันล้านบาท มีการจ้างงาน 465 คน จ.ระยอง จำนวน 7 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 247 ล้านบาท มีการจ้างงาน 115 คน และ จ.ฉะเชิงเทรา จำนวน 5 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 594 ล้านบาท มีการจ้างงาน 886 คน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี