นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 2563 ว่า อยู่ที่ระดับ 84.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 82.5 ในเดือนกรกฎาคม 2563 เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและประชาชนได้ร่วมมือกัน ทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศสามารถดำเนินการตามปกติ
ทั้งนี้ภาคการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าตามความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลดีต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกลอาหาร และสินค้าวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 94.5 เพิ่มขึ้นจาก 93.0 ในเดือนกรกฎาคม 2563 จากผู้ประกอบการคาดว่าภาคการผลิตจะมีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้แม้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 เนื่องจากผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายและมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประสบปัญหาสภาพคล่องและการเข้าถึงสินเชื่อ รวมทั้งบางส่วนได้รับสินเชื่อไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้หมุนเวียนในกิจการ
“สิ่งสำคัญคือยังอยู่ภายใต้ความกังวลต่อการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 2 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ดังนั้น มาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2563”นายสุพันธุ์กล่าว
พร้อมเสนอให้รัฐบาลควรออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมทั้งการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการให้มากขึ้น ขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะเอสเอ็มอี เช่น ยืดการชำระเงินกู้ไปอีก 2 ปี(ปี 2564-2565) ขอให้ผู้ประกอบการสามารถหักค่าใช้จ่ายภาษีนิติบุคคลได้ 2 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการอบรมหรือกิจกรรมอบรมสัมมนาภายในของบริษัทเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ
นายสุพันธุ์กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองนั้น หากการชุมนุมไม่เกิดปัญหารุนแรงและยืดเยื้อก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ส่วนแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่เคยนำเสนอไปแล้ว เช่น โครงการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาพำนักระยะยาวประเภทพิเศษ หรือ Special Tourist Visa (STV)ซึ่งหากได้ผลดีก็คงมีการขยายขอบเขตมากขึ้น เพราะหากเทียบจำนวนนักท่องเที่ยวแล้วยังน้อยกว่าภาพรวมมาก
ด้านนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงเตรียมสรุปมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใน “โครงการคนละครึ่ง” เสนอครม.ในวันที่ 22 กันยายนนี้ โดยภาครัฐเตรียมร่วมจ่าย (Co-pay) เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานราก อายุ 18 ปีขึ้นไป กลุ่มเป้าหมาย 10 ล้านคน แบ่งออกเป็น2 กลุ่ม คือ ผู้มีรายได้ประจำและผู้มีรายได้ต่ำกว่าขีดเส้นความยากจน สำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยโอนผ่าน “แอพเป๋าตัง” เพื่อให้เงินใช้จ่ายโดยไม่ต้องใช้รูปแบบจ่ายคนละครึ่งเหมือนกับผู้มีรายได้ประจำสามารถใช้เงินได้เลย
ทั้งนี้จะเปิดลงทะเบียนกลางเดือนตุลาคม หวังให้เกิดการใช้จ่ายตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ไม่เกินคนละ 3,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ค้าที่เป็นผู้ประกอบการ
รายย่อย หาบเร่ แผงลอย ที่ไม่ใช่นิติบุคคลหรือร้านสะดวกซื้อธุรกิจแฟรนไชส์ เบื้องต้นมีกลุ่มร้านค้าในระบบ ซึ่งลงทะเบียนผ่านโครงการชิมช้อปใช้ไปแล้ว 180,000 ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี