คณะกรรมการกฤษฎีกา ร่อนหนังสือ ถึง ครม.-สคร. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบุสัญญาร่วมธุรกิจ3G HSPA ระหว่าง “ทรู-กสท” ไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุนฯปี’35 เปิดทางลุยให้บริการมือถือต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด เลขที่นร.0901/1040-1042 แจ้งไปยัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงผลการตีความ กรณีการทำสัญญาธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G รูปแบบใหม่ ภายใต้เทคโนโลยีHSPA บนคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิตรซ์(MHz) ระหว่าง กสท กับ กลุ่มบริษท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวนทั้งสิ้น 6 สัญญาว่า เข้าข่ายพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมการงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐพ.ศ.2535 (พรบ.ร่วมทุนฯ)หรือไม่ โดยผลตีความระบุว่า ไม่เข้าข่ายพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ แต่อย่างใด
การตีความดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจาก กสท ได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อเดือนมีนาคม2556 ที่ผ่านมา เพื่อสอบถามความเห็น และขอให้กฤษฎีกาตีความให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับการทำสัญญาธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่( 3 G HSPA)ที่มีการลงนามในสัญญามาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2552 ปัญหาคลุมเครือในประเด็นกฎหมาย จึงต้องการความชัดเจน และให้กฤษฎีกาตีความ ตามประเด็นดังต่อไปนี้
1.สัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ของ กสท ต้องดำเนินการตามขั้นตอนพ.ร.บ.ร่วมทุนฯหรือไม่ 2.การแก้ไขสัญญาตามมาตรา46 ตามพ.ร.บ.กสทช. เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนพ.ร.บ.ร่วมทุนฯหรือไม่ และ3. หากสัญญาดังกล่าวต้องปฏิบัติตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯแล้ว กสท ควรมีแนวทางดำเนินการอย่างไร
ขณะที่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้พิจารณาตีความ ตามข้อเท็จจริงว่า ในประเด็นแรก การขายส่งตามสัญญาระหว่าง กสท กับกลุ่มทรูนั้น กสท ไม่ได้มอบคลื่นความถี่ไปให้กลุ่มทรูฯ บริหารจัดการแต่อย่างใด เพราะการใช้คลื่นความถี่ดังกล่าว กสท ต้องใช้ประกอบกิจการด้วยตัวเองตามาตรา 46 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 กรณีเรื่องคลื่นจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าคลื่นความถี่เป็นของหน่วยงานรัฐหรือไม่ ประกอบกับการขายส่งในสัญญานี้เป็นการขายส่งให้แก่ผู้รับใบอนุญาตรายอื่นเพื่อนำไปให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นการประกอบกิจการตามประกาศ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เรื่องการประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทการขายส่งบริการและบริการขายต่อ
นอกจากนี้ ข้อกำหนดในสัญญา ยังกำหนดให้ กสท ได้รับค่าบริการและค่าตอบแทนในอัตราที่แน่นอนตายตัว โดยไม่มีการแบ่งปันรายได้ กำไร หรือผลประโยชน์ใดๆ หรือร่วมรับผลกำไรหรือขาดทุนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ร่วมทั้งมิให้ได้กำหนดให้กลุ่มบริษัท ทรู รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ฉะนั้นจึงไม่มีลักษณะเป็นการร่วมการงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ
ส่วนประเด็นที่สอง และสามนั้น เมื่อการแก้ไขสัญญาเป็นการดำเนินการให้สอดคล้องกับมาตรา46 พ.ร.บ.กสทช. โดยในข้อสัญญาได้กำหนดให้ กสท เป็นผู้ดูแลควบคุมเครื่องอุปกรณ์ เสาโทรคมนาคม และระบบสื่อสัญญาณ (Transmission) ที่เช่า และบริหารจัดการคลื่นความถี่ รวมทั้งกำหนดเทคโนโลยี การดูแลควบคุมการบริหารจัดการ Configuration รวมทั้งดูแลคุณภาพการให้บริการเองทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ คณะกรรมการกฤษฎีกาฯ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เคยแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบ เรื่องนี้ โดยระบุว่า สัญญามีพิรุธใน 5 ประเด็น รวมทั้งประเด็นที่ว่า สัญญาดังกล่วต้องเข้าพรบ.ร่วมทุนฯหรือไม่ ซึ่งหากเข้าข่ายอาจทำให้บริการ3G HSPA ทั้ง กสท และ ทรู อาจสะดุดลง จนล่าสุดคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ ได้สรุปผลการตีความออกมาว่าไม่เข้าข่าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี