แม้ค่าความดันโลหิตจะสูงอย่างมาก แต่กลับไม่มีอาการแสดง ทำให้โรคความดันโลหิตสูงถือเป็น “ภัยเงียบ” ผู้ป่วยจำเป็นต้องควบคุมความดันโลหิตให้ได้ ล่าสุดความก้าวหน้าทางการแพทย์พัฒนาวิธีรักษาด้วยการจี้ระบบประสาทอัตโนมัติในกลุ่มผู้ป่วยที่ควบคุมระดับความดันโลหิตยาก
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) จัดอยู่ในกลุ่มของโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่ถือเป็นโรคเรื้อรัง และส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงต่ออวัยวะสำคัญ
ต่างๆ ของร่างกาย อย่างที่หลายคนนึกไปไม่ถึง
พญ.ปิยนาฏ ปรียานนท์ อายุรแพทย์หัวใจและหลอดเลือด สถาบันหัวใจเพอร์เฟคฮาร์ท โรงพยาบาลปิยะเวท อธิบายว่าสาเหตุของความดันโลหิตสูง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ความดันโลหิตสูงปฐมภูมิ หรือความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ(Essential Hypertension) ปัจจุบันทราบสาเหตุแล้วว่าเป็นผลจากความไม่สมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติและฮอร์โมนที่ควบคุมการหดตัว หรือการขยายของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย ซึ่งเป็นวงจรที่เกี่ยวเนื่องกันโดยตรง ระหว่างการสั่งการจากสมอง ประสาท ไขสันหลัง หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตทั้งสองข้าง รวมทั้งหน่วยไตที่อยู่ในเนื้อไต และความดันโลหิตสูงที่เป็นผลจากภาวะโรคใดโรคหนึ่ง หรือความดันโลหิตสูงทุติยภูมิ (Secondary Hypertension)เช่น ภาวะไทรอยด์ เป็นพิษ ไตวายเรื้อรัง หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตตีบ หรืออุดตัน เนื้องอกของต่อมหมวกไต เป็นต้น
“ความดันโลหิตสูงปฐมภูมินั้นไม่อาจรักษาให้หายขาดได้เหมือนความดันโลหิตสูงทุติยภูมิที่หากรักษาโรคต้นตอก็จะหายตาม ในขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ปรับพฤติกรรม ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคหรือภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง” พญ.ปิยนาฏ อธิบาย
พญ.ปิยนาฏ ปรียานนท์
แนวทางการรักษาความดันโลหิตสูง อายุรแพทย์หัวใจและหลอดเลือด สถาบันหัวใจเพอร์เฟคฮาร์ทกล่าวว่า เริ่มจากการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำรงชีวิต เช่นลดการบริโภคเกลือ และอาหารที่มีรสเค็มจัดเลิกสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก ฯลฯและหากมีความดันโลหิตสูงที่เป็นผลจากภาวะโรคใดโรคหนึ่ง (ความดันโลหิตสูงทุติยภูมิ) ให้การรักษาตามสาเหตุนั้น
หากควบคุมไม่ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำรงชีวิตดังกล่าว อาจต้องรับประทานยาชนิดของยา และปริมาณยาที่ต้องรับประทานเพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละรายหรือในกรณีที่ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนแนวทางการดำรงชีวิตอย่างเต็มที่ และรับประทานยาในชนิดและปริมาณที่มากแล้ว แต่ยังควบคุมความดันโลหิตไม่ได้แพทย์อาจแนะนำให้ทำการรักษาด้วยการจี้ระบบประสาทอัตโนมัติเมื่อมีข้อบ่งชี้ นั่นคือ เป็นผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 80 ปีที่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ แม้จะได้รับยาลดความดันโลหิตสูงมากกว่า 3 ชนิด โดยที่หนึ่งชนิดในนั้นเป็นยาขับปัสสาวะ และได้รับยาดังกล่าวมาเป็นเวลา 3 เดือน ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เหมาะสมแล้ว
การรักษาความดันโลหิตสูงที่ควบคุมยากด้วยการจี้ระบบประสาทอัตโนมัติ (Renal Denervation Therapy) เป็นการใช้ความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุ จี้ทำลายร่างแหเส้นประสาทอัตโนมัติที่อยู่ในผนังของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตทั้งสองข้าง โดยใช้อุปกรณ์พิเศษสำหรับการจี้โดยเฉพาะ สอดผ่านหลอดเลือดแดงจากขาหนีบ ย้อนขึ้นไปถึงหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไต ซึ่งเป็นแขนงของหลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้อง
พญ.ปิยนาฏ อธิบายเพิ่มว่า หัตถการดังกล่าวทำในห้องตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด (CardiacCatheterization Laboratory) ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงหลังจากนั้นจะพักฟื้นเพื่อสังเกตอาการในแผนกผู้ป่วยวิกฤติประมาณ 6 ชั่วโมง ก่อนย้ายไปพักที่หอผู้ป่วย และสามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน
ทั้งนี้ การจี้ระบบประสาทอัตโนมัติเพื่อการรักษาความดันโลหิตสูงที่ควบคุมยาก ไม่สามารถใช้ได้กับกลุ่มผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจากสาเหตุอื่น เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ, โรคเนื้องอกของต่อมหมวกไต, หลอดเลือดแดงเออร์ต้าตีบ เป็นต้น รวมถึงคนที่เคยได้รับการทำบอลลูนใส่ขดลวดเพื่อขยายหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตมาก่อน,ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง และผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์
“การรักษาด้วยการจี้ระบบประสาทอัตโนมัติสามารถควบคุมความดันให้เข้าสู่เกณฑ์ปกติ ผู้ป่วยทานยาน้อยลงหรืออาจไม่จำเป็นต้องทานยาควบคุมความดันอีกสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” พญ.ปิยนาฏ กล่าวในที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี