วัดสะเดา ตั้งอยู่ที่ ม.1 ต.แม่ลา อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี โดยห่างจากตัวเมืองสิงห์บุรี ประมาณ 6 กม. ซึ่งนอกจากจะมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจแล้ว บริเวณวัดยังคงความร่มรื่นของแมกไม้ริมลำแม่ลาที่เต็มไปด้วยต้นสะเดาน้อยใหญ่ขึ้นอยู่ในบริเวณวัดเป็นจำนวนมาก มีปลาชนิดต่างๆ มากมายที่อยู่หน้าวัดแล้ว ยังมีของดีที่ล้ำค่าอีกอย่างหนึ่งของวัดนี้นั่นก็คือ โบสถ์เก่าที่ผนังโดยรอบประดับประดาไปด้วยถ้วยชามเก่า ที่สำคัญยังมีภาพหนังสือพิมพ์เก่า แสดงถึงเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นร่วมอยู่ด้วย ว่ากันว่าของทุกชิ้นเป็นสมบัติส่วนตัวของหลวงพ่อฟุ้ง (พระอธิการฟุ้ง อุตฺตโม) อดีตเจ้าอาวาส เกจิชื่อดังของจังหวัดสิงห์บุรี
พระครูวรธรรมโสภณ เจ้าคณะตำบลเชิงกลัด เจ้าอาวาสวัดสะเดา ได้เล่าให้ฟังว่า วัดสะเดานี้ เดิมชื่อวัดแม่ลา ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดสะเดา” เนื่องจากว่ามีพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งได้การตรวจการคณะสงฆ์ถึงวัดนี้และเห็นสภาพวัดมีต้นสะเดาใหญ่ (วัดโดยรอบต้น 8 เมตร สูงประมาณ 1 เส้น) และต้นเล็กอีกเป็นจำนวนมากขึ้นอยู่ในบริเวณวัด จึงได้ปรารภกับ หลวงพ่อฟุ้ง ว่าควรจะถือเอาต้นสะเดานี้เป็นสัญลักษณ์ของวัด จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดแม่ลา มาเป็นวัดสะเดา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและได้รับพระราชทานเป็นที่วิสุงคามสิมา เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2461 โดยอุโบสถวัดสะเดาหลังนี้ หลวงพ่อฟุ้ง ซึ่งท่านได้เป็นผู้ควบคุมงานเอง ได้สร้างเมื่อปี 2461 จนถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นเวลา 100 ปี พอดี
สำหรับถ้วยชามเก่าที่ติดตามผนังโบสถ์นี้คือมีญาติโยมมาถวายท่าน เพราะท่านเป็นพระเกจิดัง แล้วท่านก็มีแนวคิดที่จะนำถ้วยชามเหล่านั้นเอามาติดผนังโบสถ์พร้อมทั้งภาพหนังสือพิมพ์เก่าที่แสดงเหตุการณ์บ้านเมืองในสมัยนั้นเพื่อให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ดู โดยมีทั้งหมดที่ติดเกือบพันใบ แต่ถ้วยชามที่ญาติโยมมาถวายท่านเมื่อสมัยนั้นก็ยังเหลืออีกเยอะที่ทางวัดยังเก็บไว้และบริเวณรอบโบสถ์เมื่อก่อนจะมีเหล็กล้อมรอบ พอมาถึงรุ่นอาตมา มีความเห็นว่ามันดูทึบเลยมารื้อเหล็กที่ล้อมรอบออกเอาไม้ใหญ่มาเป็นเสาแทน
จึงอยากเชิญญาติโยมที่ได้ดูข่าวได้มาเยี่ยมชมโบสถ์เก่าและมาสักการะรูปปั้นหลวงพ่อฟุ้ง ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาสและเป็นเกจิชื่อดังของจังหวัดสิงห์บุรีและที่วัดสะเดานี้ยังมีปลาที่เลี้ยงไว้อยู่หน้าวัดซึ่งเป็นเขตอภัยทาน มีปลาสวาย ปลาเทโพ ปลาตะเพียน เพื่อให้ญาติโยมนำอาหารมาเลี้ยงปลาเป็นทานได้และขอบอกบุญเชิญชวนญาติโยมมาร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสมทบทุนสร้างมณฑป “หลวงพ่อฟุ้ง อุตุตโม” หลังใหม่ขึ้นแทนหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมมาก ในวันที่ 29 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา สอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์อาตมา 092-9059647
สำหรับประวัติหลวงพ่อฟุ้ง เกจิชื่อดังของ จ.สิงห์บุรี นั้น หลวงพ่อท่านเกิด ในตระกูล นิลวัฒนา เมื่อวันอาทิตย์ แรม 12 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง หรือตรงกับวันที่ 18 กันยายน 2435 โยมบิดาของท่านชื่อ หลง โยมมารดาชื่อ ฉ่ำ ท่านเกิดที่บ้านตำบลบางกระบือ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อเยาว์วัยได้เข้าเรียนหนังสืออยู่กับพระที่วัดบางกระบือ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี โดยเรียนทั้งภาษาไทยและภาษาขอม มีความรู้พอแก่วิชาที่เรียนแล้วได้ออกจากวัดมาอยู่ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพตามตระกูลเดิมคือ ทำนา และการประมงในลำแม่ลา อันเป็นถิ่นที่มีปลาชุกชุม รสดี สีสวย ของจังหวัดสิงห์บุรี ท่านได้ช่วยบิดา-มารดา ประกอบอาชีพทำมาหากินด้วยความอุตสาหะมานะบากบั่นเป็นอย่างดี
มาจนอายุได้ 19 ปี ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารเป็นรั้วของชาติ (เป็นทหารช่างอยู่อยุธยา) อยู่ 2 ปี ครั้นปลดประจำการแล้วบิดามารดาประสงค์จะให้บวชเรียนสืบอายุพระศาสนา เมื่อตกลงที่จะบวชแล้วบิดาก็ได้นำไปฝากอยู่กับพระอาจารย์ที่วัดบางกระบือ อันเป็นวัดที่ใกล้บ้าน โดยมีท่านพระครูศรีวิระยะโสภิต (หลวงพ่อพระครูศรี) วัดพระปรางค์ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เป็นพระ เมื่ออุปสมบทแล้วอุปัชฌาย์ใต้ตั้งนามให้ว่า อุตฺตโม เมื่อออกจากพระอุโบสถแล้วก็เข้าจำพรรษาอยู่ที่วัดราษฎร์บำรุง ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เป็นที่รักเป็นที่วางใจแก่พระอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อพระครูศรี
ขณะนั้นหลวงพ่อพระครูศรีฯ ท่านเป็นเถระคณาจารย์ผู้เรืองวิทยาคม มีเวทมนตร์คาถาอาคมในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อนี้มีเรื่องเล่าเอาไว้มากมาย หลวงพ่อศรีท่านเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่โด่งดังในสมัยนั้น โดยชื่อเสียงของท่านดังไปทั่วทั้งภาคกลาง โดยเฉพาะแถบสิงห์บุรี, อ่างทอง, ชัยนาทและนครสวรรค์ เมื่อหลวงพ่อฟุ้งท่านใกล้ชิด และเป็นศิษย์ที่ท่านอุปสมบทให้ด้วยตัวของท่านเอง ย่อมเป็นโอกาสดีที่จะได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ จากหลวงพ่อศรีและทราบว่า หลวงพ่อฟุ้งได้รับการถ่ายทอดมาจนครบทุกวิชาของหลวงพ่อศรี ศิษย์ของหลวงพ่อศรี อีกรูปหนึ่งที่ยังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ขณะนี้ เมื่อเอ่ยชื่อเสียง ทุกท่านต้องรู้จักดี คือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง หลวงพ่อแพท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อศรีรุ่นหลังหลวงพ่อฟุ้งมาก เพราะพรรษาต่างกันประมาณ 20 พรรษา หลวงพ่อฟุ้ง จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ที่วัดราษฎร์บำรุงเป็นเวลา 5 พรรษา จึงได้มาอยู่ที่วัดแม่ลา (วัดสะเดา) ต.แม่ลา หลวงพ่อท่านเป็นพระที่ใฝ่ใจศึกษาหาความรู้พระธรรมวินัยและตั้งใจปฏิบัติสม่ำเสมอ ด้วยดีเสมอมา เป็นผู้ประกอบด้วยอินทรีย์สังวรสำรวมและมีอิริยาบถอันนิ่มนวล สงบเสงี่ยมเรียบร้อย
ในปี พ.ศ.2467 วัดสะเดาว่างเจ้าอาวาสลงคณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้หลวงพ่อฟุ้งท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทน เมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วหลวงพ่อท่านก็ริเริ่มดำเนินการพัฒนาวัด ด้วยการซ่อมแซมปรับปรุงเสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรมให้มีสภาพมั่นคงขึ้นและจัดการสร้างเสนะที่สำคัญขึ้นมาใหม่ด้วยความอุตสาหะอันแรงกล้ายอมสละกำลังกาย สติปัญญา และความสามารถทุกอย่างเพื่อความเจริญของวัดและโดยเหตุที่ท่านมีความรู้ในทางช่างเป็นอย่างดี การก่อสร้างภายในวัดจึงจัดทำเอง โดยขอแรงชาวบ้านในท้องถิ่นบ้าง ต่างถิ่นบ้างมาช่วยกันโดยไม่ต้องเสียค่าจ้าง ท่านรับภาระหนักในการพัฒนาวัดเป็นอย่างมากแทบจะกล่าวได้ว่า วัดสะเดายิ่งใหญ่ขึ้นมาในยุคสมัยที่ท่านครองวัดเป็นเจ้าอาวาสอยู่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี