“คนพิการทำอะไรได้บ้าง?” หากถามคำถามนี้ หลายคนคงจะนึกถึงอาชีพอย่าง“ขายลอตเตอรี่”, “ขอทาน”, “วณิพก” เพราะเป็นภาพที่เห็นกันจนชินตา แต่เชื่อหรือไม่ว่าคนพิการทำอะไรได้มากกว่านั้น? นำมาซึ่งแนวคิดการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตามกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 รวมถึงสิทธิของคนพิการในด้านการศึกษา ก็ได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ
แต่ในทางปฏิบัติ ลำพังคนร่างกายปกติครบ 32 ก็ยังมีปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ ดังจะเห็นโครงการระดมทุนจัดหาเครื่องมือแพทย์ไปประจำโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งคนพิการนั้นยิ่งลำบากกว่ามาก อาทิ ข้อมูลจาก กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ ณ วันที่ 15 ก.ย. 2560 ระบุว่าประเทศไทยมีคนพิการทั้งสิ้น 1,808,524 คน ในจำนวนนี้เป็นวัยทำงาน (อายุ 15-60 ปี)มากถึง 819,550 คน ส่วนใหญ่เรียนจบเพียงระดับประถมศึกษาเท่านั้น
หากมองในแง่เศรษฐศาสตร์ นี่คือ “ความสูญเสีย” อย่างน่าเสียดาย อาทิ ผู้พิการในวัยแรงงาน พบว่าแม้จะตัดกลุ่มผู้พิการมากจนไม่สามารถทำงานได้จำนวน 217,295 คนออกไป แต่ก็ยังเหลือคนที่พิการไม่มากที่ไม่ได้ประกอบอาชีพอีก 330,339 คน คนกลุ่มนี้ขอเพียง “โอกาส” ในการพัฒนาศักยภาพเท่านั้นก็จะไม่เป็นภาระของคนรอบข้าง จึงเป็นที่มาของโครงการ “ปั่นไปไม่ทิ้งกัน สานต่องานที่พ่อทำ No one left Behind” ปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ระยะทาง 867 กิโลเมตร เพื่อระดมทุนสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการณ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
28 ม.ค. 2561 ทีมงาน “แนวหน้าวาไรตี้” เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) สถานที่อันเป็น “จุดสตาร์ท” ของโครงการครั้งนี้ซึ่งมีความพิเศษตรงที่เป็นการ “ปั่นจักรยาน 2 ตอน” ด้านหน้าเป็น “จิตอาสานักปั่นตาดี” นำและบอกทาง ส่วนด้านหลังเป็น “นักปั่นผู้พิการทางสายตา” ที่ช่วยปั่นส่งแรงเสริม บรรยากาศแม้จะเป็นช่วงเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ แต่ก็มีผู้สนใจมาร่วมงานกันมากมาย
สมพงษ์ จ้อยสูงเนิน อายุ 58 ปีบ้านเกิดอยู่ “โคราช” นครราชสีมา แต่มายึดอาชีพช่างเครื่องเงินเครื่องทองในกรุงเทพฯ หลายสิบปีแล้ว เล่าว่า ปกติปั่นจักรยานเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว พอมีเพื่อนฝูงมาชวนก็ “ตอบรับโดยไม่ลังเล” เพราะเห็นเป็น “กิจกรรมการกุศล” โดยก่อนจะถึงวันจริงก็ได้ไป “เก็บตัว” ฝึกซ้อมกันหลายแห่ง รวมระยะเวลาเตรียมการนานกว่า 3 เดือน ซึ่งตนนั้นรู้สึกประทับใจที่เห็นผู้พิการทางสายตา “มุมานะ” ตั้งใจฝึกซ้อมอย่างมาก
“ซ้อมครั้งแรกๆ เราเริ่มกันแถวพุทธมณฑลก่อน แล้วก็ไปที่นครปฐม แล้วก็ไปที่เขาใหญ่ แถววังน้ำเขียว แล้วก็ไปที่สวนผึ้งราชบุรี ไปฝึกปั่นขึ้นเนินเขา เพราะระยะทางบางช่วงมันต้องปั่นขึ้นเขา เช่น แถวๆ อุตรดิตถ์ ถ้าถามว่าต่างกันไหม? คือจักรยานปกติตอนเดียวมันทำความเร็วได้ดีกว่า จักรยาน 2 ตอนมันหนักกว่า ถ้าคนด้านหลังไม่ช่วยก็จะเหมือนเอาคนนั่งซ้อนเฉยๆ” สมพงษ์ เล่าถึงการฝึกซ้อม
เช่นเดียวกับ วิฑูรย์ ทองแถมแก้ว อาชีพหลักเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แม้ปีนี้กำลังจะเข้าสู่วัย 60 ปี อย่างเป็นทางการ แต่ก็ขอมาเป็นนักปั่นจิตอาสาด้วยอีกแรง ซึ่งโดยส่วนตัวชอบปั่นจักรยานอยู่แล้วทั้งแบบเสือหมอบและเสือภูเขา แต่การมาปั่นจักรยาน 2 ตอนนั้นยอมรับว่าต้องใช้กำลังขาค่อนข้างมากเพราะหนักส่วนท้าย แต่เมื่อฝึกซ้อมแล้วพบว่าผู้พิการทางสายตาที่ปั่นไปด้วยกันนั้นช่วยปั่นส่งแรงให้เป็นอย่างดี
“คนตาบอดเขาสามารถปั่นจักรยานได้เขาอยากปั่น ก็อยากให้เขาประสบความสำเร็จในการปั่นจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ เรามีความสามารถเราก็เข้าไปช่วยเขา เพื่อให้เขาบรรลุเป้าหมาย เพราะเป็นการทำบุญทางอ้อมอย่างหนึ่ง อยากให้ทุกๆ จังหวัดออกมารณรงค์กัน ถึงแม้เขาจะเป็นคนพิการทางตาแต่มีใจที่สูงส่ง ต้องการช่วยเหลือสังคม” ผู้ใหญ่วิฑูรย์ กล่าว
ด้านผู้พิการทางสายตาที่ร่วมปั่นจักรยานในครั้งนี้ ธรรม จตุนาม กล่าวว่า คนตาบอดกับการปั่นจักรยานเอาจริงๆ แล้ว “ไม่ยาก” โดยตนนั้นปกติมีญาติบ้าง แม่บ้านบ้าง พาปั่นจักรยาน2 ตอน อยู่ในละแวกบ้านย่านพุทธมณฑลสาย 4-สาย 5 จ.นครปฐม อยู่แล้ว ทำให้ที่บ้านกลายเป็น “จุดรวมพล” ทั้งที่เก็บจักรยานและที่ประชุมเตรียมการฝึกซ้อมก่อนมาถึงวันปั่นจริงไปโดยปริยาย
“โครงการนี้มีวัตถุประสงค์คือต้องการให้คนพิการแสดงศักยภาพให้สังคมเห็น แล้วก็ระดมเงินบริจาคผ่านช่องทางต่างๆ นำไปสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียนที่อำเภอเชียงดาว” ผู้พิการท่านนี้ ระบุ
เช่นเดียวกับเจ้าภาพงานครั้งนี้ ที่ชีวิตของท่านเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายคน เพราะแม้จะประสบอุบัติเหตุจนตาบอดทั้ง 2 ข้างตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่ไม่ย่อท้อตั้งใจเรียนจนจบปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์จาก ม.ธรรมศาสตร์ และปริญญาโทจาก ม.ฮาร์วาร์ด (Harvard University) สหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาทำงานเป็นอาจารย์ใน ม.ธรรมศาสตร์ จนเพิ่งจะเกษียณอายุราชการไปเมื่อเดือน ก.ย. 2560 ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการเปิดเผยว่า ปัจจุบันมีคนพิการเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีงานทำเป็นกิจจะลักษณะ
ฉะนั้นสิ่งที่ต้องคิดกันต่อคือ “จะทำอย่างไรคนพิการที่เหลือจะมีโอกาสบ้าง?” นำมาสู่แนวคิดการจัดตั้งศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพราะประเทศไทยแม้จะมีกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ แต่ติดปัญหาคือนำมาใช้ได้เฉพาะเป็นค่าดำเนินการฝึกอบรมเท่านั้นไม่สามารถใช้สนับสนุนการตั้งศูนย์ฝึกอาชีพได้ จึงต้องจัดกิจกรรมระดมทุนขึ้น และที่เลือกการปั่นจักรยานเพราะต้องการสร้างความตระหนักตามคำขวัญ “No one left Behind” คนพิการไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ควรได้รับโอกาสให้ใช้ชีวิตได้อย่างคนทั่วไปในสังคม
“ถ้าจะให้เป็นรูปธรรม เราก็นึกถึงจักรยาน 2 ตอน ก็มีอาสาสมัครอยู่ด้านหน้า คนพิการอยู่ด้านหลัง ปั่นด้วยกันไม่ทิ้งกันก็เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ได้อีกอย่างก็เป็นการออกกำลังกายของคนตาบอดอยู่แล้ว แต่เมืองไทยอาจจะไม่เคยชิน” ศ.วิริยะ อธิบาย
ทั้งนี้โครงการ “ปั่นไปไม่ทิ้งกัน สานต่องานที่พ่อทำ No one left Behind” เริ่มออกเดินทางในเช้าวันที่ 28 ม.ค.2561ณ ม.ธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) และจะไปสิ้นสุด ณ จุดซึ่งจะเป็นที่ตั้งศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ในช่วงเย็นวันที่ 5 ก.พ.2561 โดยจะมีการถ่ายทอดสดทาง Facebook Live ที่แฟนเพจ “มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ” https://www.facebook.com/YimsooFoundation ตลอดเส้นทาง
ผู้สนใจสามารถร่วมบริจาคได้ อาทิ บัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ 162-3-07772-2, ธนาคารกรุงไทย 196-6-00208-4ธนาคารไทยพาณิชย์ 264-3-001530 ธนาคารกสิกรไทย 758-1-01398-6 และธนาคารกรุงศรี 494-0-00140-9 ชื่อบัญชีมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ รวมถึงอีกหลายช่องทาง โดยเข้าไปติดตามรายละเอียดได้ที่แฟนเพจมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ หรือที่เว็บไซต์ www.yimsoo.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี