สำหรับกรณีเรือ "ฟีนิกซ์" ที่พานักท่องเที่ยวไปดำน้ำบริเวณเกาะราชา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ประสบอุบัติเหตุเรือล่มเมื่อวันที่ 5 กรกฏาคมที่ผ่านมา เนื่องจากคลื่นลมแรงซัดน้ำเข้าเรือจนไม่สามารถออกได้ทัน และเรือล่มบริเวณหน้าเกาะเฮ จังหวัดภูเก็ต ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก โดยภายในเรือฟีนิกซ์มีนักท่องเที่ยว 95 คนลูกเรือและไกด์อีก 12 คนส่วนใหญ่เป็นชาวจีน
หลังเกิดเหตุสลดรัฐบาลไทยก็ได้อนุมัติงบช่วยเหลือเยียวยาแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ประสบเหตุเรือล่ม กรณีเสียชีวิตจะได้รับเงินเยียวยา รายละ 1,000,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 56 ล้านบาท ค่ารักษาพยาบาล รายละไม่เกิน 500,000 บาท เบื้องต้นจำนวน 10 คน กรณีฟื้นฟูสภาพจิตใจ หรือค่าทำขวัญ จำนวน 74 ราย จะได้รับเงินเยียวรายละ 20,000 บาท และกรณีหยุดชะงักของการเดินทาง จะได้รับเงินเยียวยารายละ 20,000 บาท รวมทั้งสิ้น 63,960,000 บาท
จากการตรวจสอบข้อมูลสำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์สาขาภาคใต้เขต 2 พบว่า เรือฟีนิกซ์มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวในนามของ "บริษัท ทีซี บลู ดรีม จำกัด" เลขที่ใบอนุญาต 34/01799 มีประกันอุบัติเหตุนักท่องเที่ยวกับบริษัท กรุงเทพประกันภัย กรณีเสียชีวิต 1,000,000 บาท และรักษาพยาบาล 500,000 บาท
สำหรับเรือฟีนิกซ์ลำนี้เป็นเรือ 2 ชั้น เลขทะเบียนเรือ 60002210 ตัวเรือเป็นเหล็ก ชนิดเรือกล ประเภทเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ขนาดกว้าง 6.50 เมตร ยาว 29.13 เมตร ลึก 3.50 เมตร ขนาด 287.00 ตันกรอส มี 2 เครื่องยนต์ บรรทุกผู้โดยสารได้ 120 คน ราคา 11,770,000 บาท วันที่จดทะเบียน 18-08-2560 วันหมดอายุใบอนุญาต 17-08-2561 โดยมี น.ส.วรลักษณ์ ฤหษ์ชัยกาล เป็นเจ้าของกิจการและเป็นผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ ยังมีนายจักรพันธ์ ฤหษ์ชัยกาล และนางยินดี ฤหษ์ชัยกาล เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวด้วย สำหรับเรือฟีนิกซ์มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 18.4 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่าเรือฟีนิกซ์เป็นเรือนิมินีของจีนในการประกอบการท่องเที่ยวทางทะเล เนื่องจากมีบริษัทหลานเมาเป็นบริษัทแม่ที่อยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีการขยายกิจการทำทัวร์มาถึงจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียง จึงเกิดคำถามขึ้นว่า "ค่าประกันชีวิตรายละ 1,000,000 บาท ครอบคลุมกับการลำเลียงศพกับกลับประเทศด้วยหรือไม่ และการชดใช้เกี่ยวกับการประกันชีวิตจะได้ครบทุกรายหรือไม่" เนื่องจากบริษัทดังกล่าวแจ้งนักท่องเที่ยวหากจะเดินทางท่องเที่ยวจะต้องซื้อประกันเพิ่ม จึงอาจเป็นไปได้ที่นักท่องเที่ยวบางรายไม่ได้ซื้อประกันเพิ่ม และหากบริษัทไม่มีเงินจ่ายจะทำอย่างไร
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า การพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาครั้งนี้ ถือว่าจ่ายเต็มขั้นสูงสุดของกองทุนเยียวยาฯ เนื่องจากเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาประสบเหตุในไทย และตลาดนักท่องเที่ยวจีนถือว่าใหญ่ของการท่องเที่ยวไทย ในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจีน มาไทยถึง 10 ล้านคน และอุบัติเหตุครั้งนี้ถือเป็นเหตุทางภัยธรรมชาติ เนื่องจากเรือที่ประสบเหตุได้ออกทะเลหลังศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันตก ประกาศเรื่องฝนตกหนักและประกาศแจ้งเตือนประชาชน ซึ่งขณะนี้จังหวัดภูเก็ตได้ประกาศเป็นเขตประสบภัยพิบัติแล้ว เนื่องจากเป็นผลกระทบการท่องเที่ยวระยะสั้น และยกเลิกทัวร์ช่วงนี้เพียง 3 บริษัทเท่านั้น
นายสันติ ป่าหวาย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่รวม 200 คนลงประจำทุกจุดศูนย์อำนวยการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประสบเหตุเรือล่ม เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านต่างๆแก่ครอบครัวและญาตินักท่องเที่ยว ที่เดินทางมายังจังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้ สมาคมโรงแรมจังหวัดภูเก็ต สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว ATTA ได้บริการจัดที่พักฟรีแก่ครอบครัวและญาตินักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุด้วย ประสานวัดในจังหวัดภูเก็ตจำนวน 15 วัด เพื่อฌาปนกิจ แต่ขึ้นอยู่กับครอบครัวหรือญาติว่าจะมีความประสงค์ฌาปนกิจที่ประเทศไทยหรือไม่
ส่วนการเคลื่อนย้ายหรือขนส่งศพจะเป็นความรับผิดชอบของบริษัทประกันภัย ซึ่งนักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุทั้งหมด มีข้อมูลว่า ได้ทำประกันการท่องเที่ยวไว้กับบริษัทนำเที่ยวไว้ทั้งหมด มีค่าประกันรายละ 1 ล้านบาท ซึ่งงบเยียวยาของทางรัฐและนำไปสมทบกับเงินประกันที่นักท่องเที่ยวจะได้รับอยู่แล้ว และจะไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน
นอกจากนี้ กรมการท่องเที่ยวยังเตรียมพิจารณาระเบียบอุปกรณ์ความปลอดภัยทางเรือและเสื้อชูชีพใหม่ ซึ่งปัจจุบันไม่มีกฎหมายเอาผิด การใช้เสื้อชูชีพที่ไม่ได้มาตรฐานหรือผิดประเภท กรณีที่มีนักท่องเที่ยวใส่เสื้อชูชีพ แล้วเสียชีวิต เกิดจากเสื้อชูชีพ แบบดำนำตื้น ดูปะการัง ไม่ใช่เสื้อชูชีพที่ไว้ใส่เซฟตี้บนเรือ ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงบริษัทนำเที่ยว เป็นนอมินี ต่างชาติหรือไม่นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของกรมการท่องเที่ยว พบว่าจดธุรกิจถูกต้อง แต่ขั้นตอนต่อไปเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องไปสืบสวนอีกครั้งถึงจะมีความชัดเจน
ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นของกระทรวงการต่างประเทศและกีฬา โดยรวบรวมข้อมูลจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2561 โดยถายในเดือนพฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมาพบว่านักท่องเที่ยวในโซนเอเชียที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยมากที่สุด คือ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 869,235 คน รองลงมา คือ ประเทศมาเลเซีย จำนวน 285,344 คน และประเทศลาว 141,089 คน
สำหรับนักท่องเที่ยวในโซนยุโรปที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด คือ ประเทศอังกฤษ จำนวน 61,732 คน รองลงมา คือ ประเทศรัสเซีย จำนวน 57,098 คน และประเทศเยอรมันนี จำนวน 45,615 คน
เมื่อเปรียบเทียบกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศภายในเดือนพฤษภาคม 2560 นักท่องเที่ยวในโซนเอเชียที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยมากที่สุด คือ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 762,180 คน รองลงมา คือ ประเทศมาเลเซีย จำนวน 307927 คน และประเทศลาว 130,204 คน
ส่วนนักท่องเที่ยวในโซนยุโรป ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด คือ ประเทศรัสเซีย จำนวน 65,654 คน รองลงมา คือ ประเทศอังกฤษ จำนวน 62,646 คน และประเทศเยอรมันนี จำนวน 39,624 คน
จากข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยภายในเดือนพฤษภาคมปี 2560 และปี 2561 นั้น ถือว่าประเทศสาธารณรัฐประชาช?จีน ยังคงนิยมเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นอันดับต้นๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี