ยังคงอยู่กับงานเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “ฟิลิปปินส์สู่ไทย : การไหลเวียนและแรงดึงดูดของแรงงานข้ามชาติ” จัดโดยศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งในตอนที่แล้ว(เสาร์ที่ 20 เม.ย. 2567) รศ.ดร.กมลพร สอนศรี อาจารย์สาขาวิชาบริหารรัฐกิจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึงกรณีศึกษาของฟิลิปปินส์ ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการส่งออกประชากรไปทำงานในต่างประเทศ ส่วนในฉบับนี้ จะเป็นการย้อนกลับมาดูความเป็นไปของประเทศไทยเรากันบ้าง
กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในการย้ายถิ่นเพื่อไปทำงาน ผู้ย้ายถิ่นจะพิจารณาว่าพื้นที่นั้นมีงานที่มีค่าจ้างสูงพอให้ส่งเงินกลับไปยังครอบครัว ซึ่งกรณีของประเทศไทย ในปี 2566 ที่ผ่านมาเม็ดเงินที่ชาวไทยซึ่งไปทำงานในต่างแดน ส่งเงินกลับมาประเทศไทยอยู่ที่กว่า 2.4 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูง แต่ประเทศไทยยังไม่ค่อยพูดถึงแรงงานกลุ่มนี้มากเท่าใดนัก และหากพูดถึงก็มักไม่ใช่แรงงานที่มีทักษะ เช่น คนไทยที่ไปทำงานก่อสร้างในไต้หวัน หรือล่าสุดคือไปเก็บเบอร์รี่ในฟินแลนด์ เป็นต้น
หากย้อนมองประวัติศาสตร์การเคลื่อนย้ายแรงงานในสังคมไทย เมื่อ 60 ปีก่อน จะเป็นเรื่องของคนในชนบทอพยพเข้ามาทำงานในเมือง จากนั้นในช่วงทศวรรษ 2530-2540 เมื่อโลกเปิดกว้างมากขึ้นผู้คนก็เริ่มมองหาช่องทางไปทำงานต่างประเทศมากขึ้น “ในความคิดของคนย้ายถิ่นเพื่อหางานทำไม่ว่าย้ายจากชนบทเข้าเมือง หรือย้ายจากไทยไปต่างแดน พวกเขาขอ “ไปตายเอาดาบหน้า”เพราะอยู่บ้านก็ไม่มีอะไรจะกิน ขอไปเสี่ยงโชคหาโอกาสที่อื่นดีกว่า” แต่สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาประเด็นนี้ ก็มีข้อสังเกตว่า “แรงงานไทยไปต่างประเทศกระจุกตัวเพียงในบางจังหวัด” เช่น อุดรธานี นครราชสีมา ขณะที่จังหวัดอื่นๆ จะมีแรงงานประเภทนี้จำนวนน้อยกว่า
“อาจจะต้องมองว่าการย้ายถิ่นมันมีหลายลักษณะ ถ้าดูตามที่กระทรวงทำข้อมูลไว้อาจจะมีไปตามทางแบบที่ไปเอง ไปโดยบริษัทจัดหางาน บริษัทที่เขาดีลให้ ฉะนั้นต้องดูว่าไปแบบไหน คือบางทีอย่างเก็บเบอร์รี่ของพวกฟินแลนด์ บางทีมันไปโดยมีนายจ้างจัดหาไปให้ ปัญหาคือกลุ่มคนที่จัดหาไปให้ เอาคนไปทำงานที่โน่นตัวเองเป็นนายจ้างหรือเปล่า หรือเป็นแค่ Third Party เป็นสื่อกลาง ฉะนั้นพวกนี้อาจต้องมองในภาพใหญ่
ซึ่งกลับมาก็คือคนไทยเอง ก็อาจจะบอกว่าก็ไปในพื้นที่ที่อันหนึ่งก็เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งอาจจะบอกว่ามันมีทั้ง 2 อย่าง ก็คือกลุ่มคนที่มีทักษะ ก็อาจจะทำงานที่มันดี งานเฉพาะด้าน งานวิชาชีพ อันนั้นอาจจะไม่มีปัญหา แต่อีกกลุ่มที่ทำงานที่เป็นพวกงานในกลุ่มอาชีพที่เป็นสายปฏิบัติการ สายโรงงานอะไรพวกนี้ อันนั้นก็จะมีปัญหาเยอะ ฉะนั้นก็อาจจะต้องดู ซึ่งก็จะไปเชื่อมโยงกับระบบบริหารจัดการ” กฤษฎา กล่าว
กฤษฎา กล่าวต่อไปว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจทำให้คนอยากย้ายถิ่นไปทำงานมากที่สุด เช่น อยู่เมืองไทยไม่มีงานทำ หรือต้องการงานที่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำสร้างเนื้อสร้างตัวได้ “สถิติพบคนไทยที่ไปแสวงหาโอกาสในต่างแดน มีการศึกษาเฉลี่ยอยู่ที่ชั้น ม.3 หากทำงานในไทยก็ได้เพียงค่าจ้างขั้นต่ำ” แต่ก็มีข้อสังเกตว่า ไม่ว่าจะเป็นแรงงานทักษะสูงหรือต่ำ เรื่องรายได้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศ ในอีกมุมหนึ่งก็น่าคิดว่าเป็นเพราะตลาดงานในไทยไม่รองรับและสมควรพัฒนาหรือไม่? หรือจะสนับสนุนให้ออกไปหารายได้ส่งกลับไทย?
ทั้งนี้ “ในรายได้ที่สูงขึ้นก็มีราคาที่ต้องจ่าย” เช่น ปัญหาครอบครัวจากการห่างไกลกัน อาทิ เคยพูดคุยกับแรงงานชาวลาวคนหนึ่งที่มาทำงานในไทย พบว่าแม้จะมาเพียงไม่กี่เดือนก็ต้องเลิกกับคนรักดังนั้นเรื่องแรงงานย้ายถิ่นเป็นความซับซ้อนที่ไม่อาจมองเฉพาะมิติทางเศรษฐกิจ แต่ต้องดูมิติสังคมด้วย เพราะแม้จะส่งเงินกลับมา แต่ใครจะดูแลสมาชิกในครอบครัว อย่างในไทยจะเห็นภาพคนวัยแรงงานไปทำงานต่างถิ่นแล้วฝากลูกหลานให้ผู้สูงอายุดูแล ดังนั้น นโยบายผลักดันแรงงานไร้ทักษะไปทำงานต่างประเทศเพื่อส่งเงินกลับ ในบางแง่มุมก็อาจไม่ค่อยดีเท่าไร
หรือหากมองในแง่ “ความเป็นธรรม” ก็จะพบว่า “งานที่ต้องการจ้างแรงงานข้ามชาติ มักเป็นงานที่คนท้องถิ่นหรือพลเมืองในประเทศนั้นไม่นิยมทำ” จึงน่าคิดว่า “ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นการถ่ายโอนระบบของการกดขี่ไปให้คนจากชาติอื่นที่อ่อนแอกว่าหรือไม่?” ดังนั้นเมื่อพูดถึงความเป็นธรรมในการจ้างงาน อาจไม่ได้มองเฉพาะพลเมืองของตนเอง แต่ต้องมองถึงคนชาติอื่นที่เข้ามาด้วย
ขณะที่ ปุณญดา ไชยราช นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า เรื่องราวของแรงงานไทยในต่างแดนที่ปรากฏในหน้าสื่อมักมาในช่วงที่มีสถานการณ์พิเศษ เช่น แรงงานไทยอพยพออกจากอิสราเอล กลุ่มผีน้อยในเกาหลีใต้ถูกกวาดล้าง หรือผีน้อยชาวไทยในญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นจนอาจทำให้ญี่ปุ่นยกเลิกฟรีวีซ่าสำหรับคนไทย “ข่าวสารเกี่ยวกับแรงงานไทยในต่างแดนสะท้อนการมองคนกลุ่มนี้ในแง่ลบมากกว่าแง่บวก” ทั้งที่เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยส่งเงินกลับไทยมากกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี
ตามข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ณ เดือน มี.ค. 2567 มีคนไทยไปทำงานต่างประเทศราว 1.2 แสนคน ส่วนใหญ่ไปไต้หวัน 5 หมื่นคน ด้วยความที่การไปทำงานทำได้ง่ายและมีรายได้สูงกว่าอยู่ไทยราว 2-3 หมื่นบาท รองลงมาคือเกาหลีใต้ ราว 2 หมื่นคน และอันดับ 3 คือ อิสราเอล ซึ่งก่อนหน้านี้ แรงงานไทยในอิสราเอลสูงกว่าในเกาหลีใต้ แต่ผลกระทบจากสงครามทำให้แรงงาน 1 ใน 3 ตัดสินใจเดินทางกลับไทบ ส่วนแรงงานไทยในฟินแลนด์ที่เคยมีอยู่ราว 6,000 คน ปัจจุบันไม่มีแล้วเพราะเกิดปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำให้มีการระงับการส่งแรงงานไว้ก่อน
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า “จำนวนแรงงานไทย 1.2 แสนคนข้างต้นคือแรงงานในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม แต่ไม่ได้นับรวมแรงงานทักษะสูง” ซึ่งจากการศึกษาพบว่า แรงงานกลุ่มทักษะสูง (Skilled Labour) มักจะไปเรียนหรือไปอยู่กับญาติในต่างประเทศแล้วมีโอกาสได้ทำงานต่อที่นั่น แต่แรงงานทักษะต่ำหรือไร้ทักษะ (Unskilled Labour) ต้องอาศัยกระบวนการของรัฐในการไปทำงานต่างประเทศ เช่น กระบวนการ MOU หรือไปผ่านบริษัทจัดหางาน หรือไม่ก็ไปแบบผิดกฎหมาย
“ถ้าพูดถึงระบบจุดอ่อนของแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ นอกจากจุดอ่อนในเรื่องของสวัสดิการ จุดอ่อนอย่างแรกเรามองแค่ว่าเราจัดส่ง พอมันจบมันก็ไปขยายจุดอ่อนที่สองคือเราไม่ได้ห่วงสวัสดิการแรงงานไทยที่ออกไปทำงานนอกประเทศ แล้วมันก็มาจุดที่สาม ปัญหาคือพอเขาไปทำงานต่างประเทศกลับมา เขาไม่เหมือนฟิลิปปินส์ที่ได้รับการดูแล หรือว่าดึงเอาทักษะที่ไปทำงานในต่างประเทศกลับมาพัฒนาประเทศ ของเราก็คือไปทำงานกลับมาแล้วก็จบ พอแรงงานไทยไป-มา ทำงานแล้วจบ มันเหมือนว่าฉันอุตส่าห์ไปทำงานได้เงินเดือน 50,000 กลับมาฉันต้องทำงานเงินเดือน 9,000 มันก็เป็น Loop (วงจร) เดิม ไปทำงานประเทศใหม่แทน” ปุณญดา กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี