เชื่อว่าจะถูกจดจำไปอีกนานกับปฏิบัติการ “17 วันระทึกกู้ 13 ชีวิตติดถ้ำ” ที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาไม่ว่าไทยหรือต่างชาติ เพื่อช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ช่วยโค้ช “หมูป่าอะคาเดมี” ซึ่งเข้าไปติดอยู่ใน “ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน” อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่23 มิ.ย. 2561 จนถึงวันที่สามารถนำตัวผู้ประสบเหตุคนสุดท้ายออกจากถ้ำได้ในวันที่ 10 ก.ค. ปีเดียวกัน
นอกจากภาพที่สื่อมวลชนถ่ายทอดออกมาจากที่เกิดเหตุอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้คนได้ติดตามสถานการณ์อย่างลุ้นระทึกราวกับกำลังชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แล้ว “เหตุเกิดที่ถ้ำหลวง” ยังมีความน่าสนใจน่าเรียนรู้ในหลายมิติ ดังเรื่องราวจากงานเสวนา “วิเคราะห์ปรากฏการณ์ถ้ำหลวงจากหลายมิติ” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจัดขึ้นก่อนหน้าปฏิบัติการพาเด็กๆ และผู้ช่วยโค้ชดำน้ำออกจากถ้ำเพียงไม่กี่วัน
ผศ.ดร.สมบัติ อยู่เมือง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภูมิสารสนเทศเพื่อประเทศไทย ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เหตุการณ์ 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง “ย้ำเตือนให้มนุษย์ต้องทำความเข้าใจในเรื่องของธรรมชาติและภัยพิบัติให้มากขึ้น” จำเป็นต้องคำนึงถึงการหาองค์ความรู้ในการจัดตั้งกลไกในการตอบสนองภัยพิบัติ เพื่อทำให้เกิดการเตือนภัยล่วงหน้า โดยรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นลดความเสี่ยง
อาทิ หลีกเลี่ยงทุกพื้นที่น้ำท่วมซ้ำ ถ้ำทุกแห่งต้องทำแผนรับมือเตรียมไว้ หรือแม้แต่วางแผนเบี่ยงทางน้ำ ซึ่งต้องพิจารณาถึงความเดือดร้อนที่เกิดกับเกษตรกรในพื้นที่เป็นสำคัญ และต้องตอบสนองเรื่องของระยะเวลา เช่น พายุ น้ำท่วม ดินถล่ม แผ่นดินไหว ที่มักเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาวัน เดือน ปี เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถกำหนดขั้นตอนการเตรียมพร้อม กู้ภัย และฟื้นฟูต่อไปได้
ขณะที่ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มุมมองว่า “อย่าคาดหวังกับเทคโนโลยีล้ำยุคมากเกินไป” ดังที่ฮือฮากันมากคือกระแสข่าวที่สหรัฐอเมริกาจะใช้ “ดาวเทียมตาทิพย์” ส่องทะลุภูเขาดูว่าทั้ง 13 คน ติดอยู่ตรงจุดไหนเพื่อให้ทีมกู้ภัยเข้าไปช่วยเหลือได้ถูก ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน อีกทั้งระดับน้ำในถ้ำลดลงอย่างต่อเนื่องก็เพราะ “เครื่องสูบน้ำพญานาค” เทคโนโลยีแบบไทยๆ ที่มีอยู่ยังสามารถใช้ได้เพียงแต่ต้องวางแผนให้ดี
เช่นเดียวกับ “ป้ายเตือนหน้าถ้ำ” ก็เป็นประเด็นร้อนที่มีการถกเถียงกันระหว่างฝ่ายที่มองว่าทั้ง 13 คน ผิดเพราะเข้าถ้ำไปในช่วงฤดูฝน กับฝ่ายที่มองว่าทั้ง 13 คน ไม่ผิดเพราะป้ายเขียนว่าห้ามเข้าถ้ำช่วงเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน เนื่องจากเป็นฤดูน้ำหลากท่วมถ้ำ แต่ทั้ง 13 คนเข้าไปในช่วงเดือนมิถุนายน เรื่องนี้ อาจารย์เจษฎากล่าวว่า ปริมาณน้ำฝนในเชียงรายมีมากตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้ว และในเดือนมิถุนายนก็สะสมจนเป็นน้ำหลากลงมาในถ้ำได้
ดังนั้น “ป้ายห้ามเข้าหน้าวนอุทยานในช่วงหน้าฝน ต้องทำการให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน” เนื่องจากผู้ประสบภัยทั้ง 13 คน ได้เข้าไปก่อนเวลาที่ป้ายแจ้งเตือนเอาไว้เสียด้วย แต่กลับกลายเป็นเข้าไปแล้วไม่สามารถออกมาได้เพราะติดน้ำที่ท่วมในถ้ำ เพราะฉะนั้นจึงเป็นบทเรียนที่ต้องจดจำกันไปตลอด และสามารถนำมาแก้ปัญหาในอนาคตได้
“ข้อมูลข่าวสาร” ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ผศ.พิจิตรา สึคาโมโต้ หัวหน้าภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ข่าวถ้ำหลวงมีลักษณะเป็น “ข่าวร้อน” หรือ “Breaking News” มีความน่าติดตามทำให้ผู้รับสารต้องลุ้นระทึก เป็นข่าวที่มีองค์ประกอบครบ และเป็นข่าวที่ขายได้เพราะเป็นประเด็นที่ทั้งสังคมให้ความสนใจและมีพัฒนาการของเหตุการณ์ตลอดเวลา
สำหรับข่าวที่ได้รับความนิยมสูงในสังคมไทย พบว่ามักมีลักษณะ 1.ข่าวความเสียสละ หรือการแสวงหา “ฮีโร่” (Hero) บุคคลใดบุคคลหนึ่ง 2.ข่าวสืบค้นหาแพะ หรือผู้กระทำผิด 3.ข่าวไสยศาสตร์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องเหนือธรรมชาติ และ 4.ข่าวแสดงความมีน้ำใจของคนไทย ทำให้สื่อมวลชนไทยนิยมนำเสนอข่าวแบบเหตุการณ์เฉพาะหน้า เป็น “ไทยมุง” สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ต่างกับสื่อต่างชาติ เช่น สื่อญี่ปุ่นที่มีทั้งการทำแบบจำลองถ้ำ การเน้นความเข้มแข็งของผู้ประสบเหตุ ความทุ่มเทสามัคคีของทีมกู้ภัย รวมถึงการให้กำลังใจให้สังคมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ซึ่งอาจเป็นเพราะประเทศญี่ปุ่นมีภัยพิบัติบ่อยครั้ง สื่อญี่ปุ่นจึงต้องให้ความรู้เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้คน ขณะเดียวกัน สำนักข่าวยังต้องแข่งขันกับเพจต่างๆ ที่มีการผลิตและนำเนื้อหาเข้าสู่ระบบโดยผู้ใช้ (User generated content) วัดกันด้วยความเร็ว ทำให้พบปัญหา “ข่าวปลอม” (Fake News) ทำให้สื่อเองก็ต้องกลับมาคิดเช่นกันว่า “จะเป็นเพียงกระจกสะท้อนสังคมหรือจะเป็นตะเกียงส่องนำทางให้สังคม” เพราะเหตุการณ์ถ้ำหลวงชี้ให้เห็นว่า “ความเร็วไม่ใช่ผู้ชนะ” แต่เป็นการรายงานข่าวที่รอบด้านและเจาะลึกต่างหาก
อีกด้านหนึ่ง ในวันที่มีรายงานว่า ศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย (ศอร.) ประกาศกันพื้นที่ห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้า รวมไปถึงช่วงท้ายๆ ของเหตุการณ์ที่กันสื่อมวลชนออกพร้อมสั่งห้ามเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครให้ข้อมูลโดยพละการ พบว่า “บนโลกออนไลน์เต็มไปด้วยข้อสังเกตและสงสัยมากมาย” โดยเฉพาะคำถาม “รัฐบาลปิดบังอะไรอยู่หรือไม่?” เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจ
เรื่องนี้ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวกับทีมงาน “สกู๊ปแนวหน้า” หลังเสร็จสิ้นเวทีเสวนา “ถอดบทเรียนการทำข่าวถ้ำหลวง” ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ว่า จริงๆ แล้วเหตุการณ์แบบนี้ในต่างประเทศจะมีการกันพื้นที่ไว้สำหรับปฏิบัติการกู้ภัย แต่ประเทศไทยอาจไม่เคยเห็นมาก่อนจึงมีการตั้งคำถาม โดยต้องแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ “ช่วงขณะปฏิบัติการ” ทุกฝ่ายก็ต้องให้ความร่วมมือเพื่อให้ผู้ประสบเหตุปลอดภัยก่อน
กับ “ช่วงหลังสถานการณ์คลี่คลาย” จะเป็นเวลาที่สื่อมวลชนสามารถไปทำข่าวเจาะ ข่าวสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าสมมุติฐานต่างๆ ที่ตั้งกันไว้ก่อนหน้ามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ขณะเดียวกัน “ภาครัฐก็ต้องชี้แจงกับประชาชนด้วยว่าเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นอย่างไร” เช่น หลังเสร็จสิ้นการกู้ภัย อาจเปิดให้สื่อเข้าไปสำรวจภายในถ้ำในช่วงที่เห็นว่าปลอดภัย ไม่เจอน้ำหลากจนกลายเป็นผู้ประสบเหตุไปอีก
“คนมีความคิดที่หลากหลาย และอีกส่วนหนึ่งทรรศนะของคนบางคนอาจไม่ไว้ใจข้อมูลที่ผ่านจากรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมาในอดีตรัฐอาจจะให้ข้อมูลด้านเดียวเป็นหลัก หรือเป็นในเชิงของปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร ซึ่งอาจทำให้ถูกตั้งคำถามได้ อย่างไรก็ตามก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป ว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องตรวจสอบหรือเปล่า” อาจารย์มานะ ฝากข้อคิด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี