“หาบเร่แผงลอย” เอ่ยถึงทีไรก็กลายเป็น “วิวาทะ” ได้ทุกทีสำหรับสังคมไทย ระหว่างคนกลุ่มหนึ่งที่รักความเป็นระเบียบที่มักตั้งแต่รังเกียจการค้าขายลักษณะนี้ อาทิ กีดขวางทางเท้า ทิ้งสิ่งปฏิกูลเกลื่อนกลาด ไปจนถึงมีรายได้แต่ไม่ยอมเสียภาษี กับคนอีกกลุ่มที่มองว่านี่คือเศรษฐกิจฐานราก เป็นที่พึ่งคนระดับล่างในสังคมทั้งผู้ขายที่จำนวนมากสูงอายุและมีการศึกษาน้อย รวมถึงผู้ซื้อที่มักเป็นแรงงานชั้นรากหญ้าหรือชั้นกลางค่อนไปทางล่าง ทำให้สังคมไทยที่ความเหลื่อมล้ำสูงติดอันดับต้นๆ ของโลกไม่ตึงเครียดจนเกิดความรุนแรงปะทุอย่างอีกหลายประเทศ
“ชีวิตของหาบเร่แผงลอยไทยยังได้รับความสนใจจากชาวโลก” อาทิ สำนักข่าว CNN ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า “สตรีทฟู้ด (Street Food)” หรืออาหารข้างถนนนั้นของไทย “Best of The World” ดีที่สุดในโลก ทำให้เมื่อประเทศไทยอยู่ในยุครัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แล้วพบว่าหน่วยงานรัฐส่วนท้องถิ่นอย่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดการ “ยกเลิกจุดผ่อนผัน” จำนวนมากที่เคยตั้งกันมาต่อเนื่องในยุคที่รัฐบาลกลางยังเป็นรัฐบาลนักการเมืองจากการเลือกตั้ง การนำเสนอข่าวของบรรดาสื่อนอกจึงออกไปในแนวทางค่อนข้างกังวล
ตลอดช่วงวันทำงานของสัปดาห์ที่ผ่านมา (17 - 21 ก.ย. 2561) นอกจากเว็บไซต์ นสพ. The Straits Times ของสิงคโปร์ ที่นำเสนอข่าว “Thai street vendors urge rethink of eviction measures” ว่าด้วยด้วยความเดือดร้อนของผู้ค้าแผงลอยในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ที่ถูกจัดระเบียบในลักษณะ “กวาดล้าง” ซึ่งกระทบอย่างจากต่อเศรษฐกิจฐานรากแล้ว สื่อดังของเพื่อนบ้านทางใต้ของไทยอย่างเว็บไซต์ นสพ.Malay Mail อันเป็นหนังสือพิมพ์เก่าแก่ฉบับหนึ่งของมาเลเซีย ก็นำเสนอข่าวเรื่องเดียวกัน
Malay Mail พาดหัวข่าวรายงานพิเศษชิ้นล่าสุดเกี่ยวกับแผงลอยไทยว่า “Bangkok street vendors: From Michelin star to fighting eviction (แผงลอยกรุงเทพฯ : จากผู้คว้ารางวัลดาวมิชลินสู่การต่อสู้กับการถูกขับไล่)” เนื้อหาเริ่มต้นการบรรยายชีวิตของ “เจ๊ไฝ” หญิงชราวัย 70 ปี ผู้ประกอบการอาหารข้างถนนรายหนึ่งที่ได้รางวัลดาวมิชลิน อันเป็นรางวัลเกียรติยศของคนในแวดวงการทำอาหาร ร้านของเจ๊ไฝได้รับความนิยมอย่างสูง มีแม้กระทั่งคนร่ำรวยขับรถยนต์หรูมานั่งรับประทาน
“เจ๊ไฝ” จากร้านอาหารข้างถนน สู่เชฟรางวัลดาวมิชลิน
ที่มาภาพ : https://reacho.in/discover/thailand-food-vendor-conferred-with-michelin-star#
สวนทางกับนโยบายภาครัฐของไทยที่ต้องการ “คืนทางเท้าให้ประชาชน” นำมาสู่การขับไล่ผู้ค้าแผงลอยรายย่อยนับร้อยรายออกไปจากทางเท้าทั่ว กทม. เพื่อความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เว้นแม้แต่ในบริเวณ “ถนนข้าวสาร (Khao San Road)” ถนนคนเดินที่เป็นจุดรวมตัวยอดนิยมของบรรดานักท่องเที่ยวประเภทสะพายเป้ (Backpackers) นำมาสู่การเดินขบวนประท้วงของผู้ค้าไปยังศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
รายงานของ Malay Mail ชี้ให้เห็นถึงการรวมตัวของผู้ค้าแผงลอยว่าได้รับการสนับสนุนโดยเหล่านักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการที่หนักหน่วงเกินไปของภาครัฐ อาทิ ชาวดี นวลแข (Chawadee Nualkhair) นักเขียนบทความวิจารณ์อาหาร ที่ให้ความเห็นว่า “อาหารริมถนนเป็นวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญของไทย” เพราะช่วยสร้างความผูกพันของชุมชน
ชาวดี ยังกล่าวอีกว่า “อาชีพค้าขายริมถนนยังทำให้ผู้หญิงสามารถมีอาชีพเลี้ยงครอบครัวของพวกเธอได้จากทักษะการสร้างสรรค์อาหารโดยไม่ต้องแสวงหาโอกาสอื่นใด” และนโยบายของภาครัฐที่พยายามกำจัดการค้าขายริมถนนให้หมดไปจากเมือง ก็จะทำให้เกิดช่องว่างขึ้นซึ่งแน่นอนว่าช่องว่างนี้จะถูกเติมเต็มด้วยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น บริษัทผลิตอาหาร รวมถึงผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า
(ซ้าย) โครงการทางจักรยานเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา , (ขวา) ชุมชนป้อมมหากาฬที่ถูกรื้อย้าย
ที่มาภาพ :
http://www.naewna.com/local/347603
http://www.naewna.com/local/335803
ในยุครัฐบาล คสช. ซึ่งมีอำนาจตั้งแต่ปี 2557 นอกจากการจัดระเบียบผู้ค้าแผงลอยในลักษณะกวาดล้างแล้ว “โครงการทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา” รวมถึงการ “ไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ” เพื่อนำพื้นที่ไปทำสวนสาธารณะ ก็ถูกพูดถึงอย่างมากเช่นกัน อาทิ พูลทรัพย์ ตุลาพันธ์ (Poonsap Tulaphan) ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (Homenet Thailand) กล่าวว่า การขับไล่โดยภาครัฐเน้นไปที่คนยากจนที่แทบไร้สิทธิ์ไร้เสียงทางกฎหมาย เพราะไม่ได้มีสิทธิในพื้นที่อย่างเป็นทางการ
“สงครามเกิดขึ้นกับคนในเมืองนั้นเอง เหล่าคนยากจนที่สุดและเปราะบางที่สุด ผู้ค้าจำนวนมากขายของอยู่ในจุดเดียวมาตลอดหลายสิบปี และมันคือรายได้ของทั้งพวกเขาเองรวมถึงครอบครัว ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ชีวิตของพวกเขาก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว” พูลทรัพย์ กล่าว
Malay Mail กล่าวต่อไปถึงท่าทีของรัฐบาลประเทศต่างๆ ในเอเชีย ที่ต้องการทำให้เมืองมีความเป็นสมัยใหม่ (Modernise) ดังนั้นจึงมองว่าผู้ค้าแผงลอยเป็นปัญหาต่อการทำธุรกิจในระบบและประชาชนที่มีฐานะดี แต่ในมุมของนักวิชาการ รศ.ดร.นฤมล นิราทร (Narumol Nirathron) อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า การดำรงอยู่ของผู้ค้าแผงลอยทำให้บริเวณนั้นมีผู้คนพลุกพล่าน อันหมายถึงช่วยเป็นหูเป็นตา ลดการเกิดอาชญากรรมได้ทางหนึ่ง
“จากตลาดน้ำในอดีตสู่ร้านค้าแผงลอยกว่า 240,000 รายในวันนี้ ได้เอื้อให้เกิดบริการอาหารและขนมราคาประหยัด เป็นประโยชน์กับผู้อยู่อาศัยในเมืองที่มีรายได้น้อย 1 ใน 4 ของผู้ที่ซื้อหาสินค้าจากร้านค้าเหล่านี้ เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยกว่า 9,000 บาทต่อเดือน ส่วนผู้ค้ามากกว่าร้อยละ 70 เป็นผู้หญิง อีกทั้งในจำนวนนี้กว่า 2 ใน 3 มีอายุเกินกว่า 40 ปีและมีการศึกษาน้อย คนเหล่านี้จึงเปราะบางอย่างยิ่ง” อาจารย์นฤมล ระบุ
ขณะที่ผู้นำเครือข่ายผู้ค้าแผงลอย เรวัตร ชอบธรรม (Rewat Chobtham) ประธานเครือข่ายผู้ค้าแผงลอยไทย เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ค้าที่ได้รับใบอนุญาตให้ขายของลดลงไปหลายพันราย และในอนาคตคาดว่าจะถูกห้ามขายอีกทั้ง 683 จุดทั่วกรุงเทพฯ และย้ำว่า “นี่คือนโยบายที่โหดร้ายที่สุดของรัฐบาล” เพราะการขับไล่ผู้ค้าแผงลอยส่งผลกระทบหลายด้าน ลูกหลานต้องออกจากโรงเรียน สูญเสียยานพาหนะหรือแม้แต่ที่อยู่อาศัย
4 ก.ย. 2561 เครือข่ายผู้ค้าแผงลอยไทย เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ชุมนุมประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ : http://www.naewna.com/politic/361942
เรวัตร กล่าวต่อไปว่า หลังการถูกขับไล่อย่างหนักช่วงปี 2559 - 2560 ในที่สุดกลุ่มผู้ค้าจากทั่วเมืองก็ตัดสินใจที่จะรวมตัวกัน โดยประสานงานผ่านแอพพลิเคชั่นสนทนาออนไลน์ ซึ่งนับตั้งแต่การก่อตั้งในเดือน เม.ย. 2561 ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 7,500 คนจาก 25 เขตทั่วกรุงเทพฯ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการและนักกฎหมาย ในการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ทบทวนมาตรการที่ภาครัฐทำมา ทั้งนี้ผู้ค้าเห็นด้วยหากเป็นจัดระเบียบ เช่น สุขอนามัย การกำหนดเวลาขาย รวมถึงการเสียภาษีเข้ารัฐ แต่ไม่ใช่การขับไล่
ในจดหมายเปิดผนึกที่เครือข่ายผู้ค้าแผงลอยไทย เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไปยื่นถึงรัฐบาลไทยเมื่อต้นเดือน ก.ย. 2561 เรียกร้องให้ผู้ค้าได้สิทธิในการจำหน่ายสินค้า ณ จุดเดิมที่เคยค้าขายแต่ถูกยกเลิกจุดผ่อนผันไป รวมถึงภาครัฐต้องเปิดให้ผู้ค้ามีส่วนร่วมในการออกนโยบายเรื่องนี้ด้วย ขณะที่โฆษกรัฐบาลไทยกล่าวว่าจะนำข้อเรียกร้องทั้งหมดไปพิจารณาอย่างจริงจังและตัดสินใจการดำเนินการต่อไป ซึ่งรวมถึงการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ที่ประกอบด้วยตัวแทนผู้ค้า เจ้าหน้าที่ กทม. และตำรวจภายใน 30 วัน
ด้าน ซาราห์ รีด (Sarah Reed) ผู้แทนองค์กร Women in Informal Employment: Globalizing and Organizing (WIEGO) ตั้งข้อสังเกตว่า “เมืองต่างๆ พยายามเปลี่ยนแปลงให้เหมือนสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่างชนชั้นปกครองกับกลุ่มทุน” ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะเมืองที่บรรดาประเทศเหล่านั้นพยายามเลียนแบบ ในปัจจุบันกลับพยายามทำเมืองให้มีชีวิตด้วยการดึงดูดผู้ค้าริมถนน อันเป็นอัตลักษณ์ของเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จำนวนผู้ค้าหาบเร่แผงลอยใน กทม.
ที่มาภาพ : http://www.bangkok.go.th/citylaw/page/sub/4043
ก่อนหน้านี้มีสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งนำเสนอข่าวการจัดระเบียบแบบกวาดล้างผู้ค้าแผงลอยในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยภายใต้ยุคสมัยรัฐบาล คสช. อาทิ สำนักข่าว ABC News ประเทศออสเตรเลีย นำเสนอรายงานพิเศษ “Bangkok street food vendors at war with Thailand's military junta” เมื่อ 17 มี.ค. 2561 , เว็บไซต์ นสพ.South China Morning Post เกาะฮ่องกง ประเทศจีน นำเสนอรายงานพิเศษ “Bangkok street food vendors’ removal sparks debate about whether Thai capital’s food culture can survive” เมื่อ 5 ต.ค. 2560 ,
เว็บไซต์ นสพ.The Guardian ของอังกฤษ นำเสนอรายงาน “Will Bangkok's street food ban hold?” เมื่อ 27 ส.ค. 2560 รวมถึงสำนักข่าว BBC ของอังกฤษ ก็นำเสนอรายงาน “Bangkok's disappearing street food” เมื่อ 23 ส.ค. 2559 เนื้อหาข่าวส่วนใหญ่สะท้อนผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อคนระดับล่างในเมืองและความรู้สึกเสียดายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากนี้รายงานของ BBC ยังระบุว่า “ร้านอาหารแผงลอยริมถนนเป็นพื้นที่ไม่กี่แห่งที่ทำให้คนทุกชนชั้นได้มาอยู่เสมอหน้ากัน” ตั้งแต่นักธุรกิจใหญ่ไปจนถึงคนขับแท็กซี่และคนทำความสะอาดห้องน้ำ
ดังนั้นไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ..แต่ที่แน่ๆ ร้านค้าแผงลอยหรือสตรีทฟู้ดของไทยนั้นมีชื่อเสียงมากอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้รับความสนใจ (และ/หรือห่วงใย) จากสื่อนานาชาติขนาดนี้ เมื่อเกิดสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงว่าภาพที่คุ้นเคยอาจจะหายไปจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยและเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลก!!!
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.malaymail.com/s/1673462/bangkok-street-vendors-from-michelin-star-to-fighting-eviction
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี