ความคืบหน้าการแก้ปัญหานายทุนบุกรุกป่าใน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ เขตต.นาทัน ป่าอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม หลังพล.ต.นิตินัย ภีมะโยธิน ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 3 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดกาฬสินธุ์ สั่งกำลังผสมสามฝ่ายเข้าผลักดันผู้บุกรุกออกจากผืนป่าพบเป็นคนกลุ่มเดิมที่เข้าบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติภูพาน อ.สามชัย ที่ถูกนายทุนยึดเป็นของตนเองถึง 16,000 ไร่
จ่อฟันนายทุนฮุบป่ากาฬสินธุ์
โดยพ.อ.ฉกาจพงษ์ หงษ์ทอง ที่ปรึกษากองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จ.กาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า ปัญหาบุกรุกป่าอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก พบผู้บุกรุกเป็นนักการเมืองนายทุนและข้าราชการครูในพื้นที่กลุ่มเดียวกับที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูพาน ตรวจสอบเบื้องต้นมีการตัดไม้ไปแล้วกว่า 10,000 ต้น กินพื้นที่กว่า 4,000 ไร่ มีการสร้างบ้าน และยังพบหมุด สทก.หรือหมุดสิทธิทำกินในป่าสงวน ซึ่งกำลังตรวจสอบว่าใครนำขึ้นมาแสดงบนเขตพื้นที่อุทยาน ขณะเดียวกัน กำลังผสมจะใช้แผนอาชาพิทักษ์ไพรผลักดันผู้บุกรุกออกไป พร้อมเร่งตรวจสอบรายชื่อ ส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
บุกจับชาวบ้านรุกป่าสงวนชุมพร
วันเดียวกัน ร.ต.ท.สมมาตร ตั้งรมยวิลัย พงส.สภ.หลังสวนจ.ชุมพร สนธิกำลังกับชุดเฉพาะกิจร่วมอ.หลังสวน และสายตรวจปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไมัสายที่ 2 เข้าตรวจสอบบ.บากแดง ม.12 และบ.หินช้างสี ม.13 ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร หลังชาวบ้านร้องเรืยนมีการบุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ตรวจสอบเบื้องต้นพบมีการแผ้วถางป่า ปลูกยางพาราและทุเรียน เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ พร้อมจับกุมผู้บุกรุกป่าสงวนในบ.หินช้างสี ม.13 ได้ 1 รายคือ นายนิยม จินาจิ้น ชาวบ้านต.พ้อแดง อ.หลังสวน กำลังแผ้วถางป่า โดยแจ้งข้อกล่าวหากระทำผิด พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ก่อนส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.หลังสวนดำเนินคดีต่อไป
2เดือนยึดไม้พะยูงได้1.7หมื่นท่อน
ส่วนที่ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 แถลงผลปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม- 22กรกฎาคมที่ผ่านมาใน 20 จังหวัดภาคอีสานว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 493 คน ยึดไม้แปรรูปชนิดต่างๆ ได้จำนวนมาก ประกอบด้วย ไม้พะยูง 17,000 ท่อน ไม้ชิงชัน 58 ท่อน ไม้ชนิดอื่นๆ กว่า 15,000 ท่อน และเงินสดกว่า 1 แสนบาท สำหรับปฏิบัติงานดังกล่าวเป็นผลงานของเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานทั้งทหาร ตำรวจ และป่าไม้ ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า
อธิบดีเตรียมยกเครื่องจนท.ป่าไม้
ด้านนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยสถานการณ์ความรุนแรงการตัดไม้ทำลายป่าในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมาว่า มีแนวโน้มลดลง แต่กรมมีแผนยุทธศาสตร์ที่ต้องเร่งขับเคลื่อนคือ การดูแลบุคลากรของกรมป่าไม้ โดยจะปรับปรุงเงินเดือน เบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า รวมทั้งการเพิ่มบุคลากรให้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่เพียง 5,000 คน เทียบสัดส่วนเจ้าหน้าที่ 1 คนต้องดูแลป่ามากกว่า 1 แสน-1ล้านไร่ ซึ่งจะประสานกรมอุทยานเพื่อบูรณษการทำงานและนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำงาน
อึ้ง!ป่าทั้งประเทษเหลือ102ล.ไร่
สำหรับพื้นที่ป่าปัจจุบันในประเทศไทย เหลือเพียง 102 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 32 ของพื้นที่ประเทศและมีการทำลายป่ามากกว่า 8 แสนไร่ต่อปี ซึ่งสัดส่วนที่เหมาะสมนั้น ต้องมีพื้นที่ป่ามากกว่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งหมด หลังจากนี้จะเร่งจัดตั้งป่าชุมชนเพิ่ม จากปัจจุบันมี 8,900 แห่ง หรือ 3.6 ล้านไร่ทั่วประเทศ ภายใน 2 ปีต้องเพิ่มให้ครบ 1 หมื่นแห่ง ใกล้เคียงพื้นที่ป่าติดกับแนวอนุรักษ์ของอุทยานดงพญาเย็น เขาใหญ่ ภูเขียวน้ำหนาวและแก่งกระจาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องทำให้คน ป่า สัตว์ป่า อยู่ร่วมกันได้ ขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านปลูกป่าตามแนวชายแดนทำเป็นพื้นที่อนุรักษ์ร่วมกัน และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายโดยทำงานร่วมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ยึดทรัพย์ขบวนการตัดไม้ทำลายป่า เพิ่มโทษผู้กระทำความผิดให้สูงขึ้น คาดอีก 3 เดือน-1 ปี จะเห็นผลเป็นรูปธรรม
ปชช.โวยคำสั่งคสช.ทำพิษ
ส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) วันเดียวกันนี้ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน เป็นประธานประชุมหาข้อเท็จจริงจากกรณีตัวแทนภาคประชาชน ประกอบด้วย กลุ่มสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ชาวบ้านในพื้นที่เทือกเขาบรรทัด จ.ตรัง และชาวบ้านอ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ ยื่นคำร้องถึงกสม.ขอให้ตรวจสอบหน่วยงานราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 64และ66/2557 ที่ระบุให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรามปราบและจับกุมผู้บุกรุกและทำลายป่าหรือทรัพยากรธรรมชาติที่อาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และกระทบสิทธิประโยชน์ในที่ดินทำกินและสิทธิชุมชน ตามมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว โดยมีตัวแทนภาคประชาชนจาก 3 พื้นที่ดังกล่าว พร้อมตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือ
พื้นที่ทำกินเขาบรรทัดมีปัญหา
โดยนายบุญ แซ่จุง ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัดเปิดเผยว่า การจัดสรรพื้นที่บริเวณเทือกเขาบรรทัดให้ชาวบ้านทำกินนั้น ดำเนินการโดยสำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกทั้ง พื้นที่ดังกล่าวอยู่ระหว่างจัดทำให้เป็นโฉนดชุมชน และมีปัญหาข้อพิพาท อัยการสูงสุดจึงให้ชะลอเพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทลุล่วงไปก่อน แต่เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานมาติดประกาศหนังสือคำสั่งให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ ซึ่งขัดกับคำสั่งของอัยการสูงสุด พวกตนจึงตั้งข้อสังเกตว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ตีความตามคำสั่งคสช.หรือไม่
ถูกนายทุนอ้างคสช.ไล่ชาวบ้าน
ด้านตัวแทนกลุ่มสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือกล่าวเพิ่มเติมว่า หลังมีประกาศของคสช. หลายพื้นที่ภาคเหนืออย่าง จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอนและลำปาง เจ้าหน้าที่อุทยานและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองสนธิกำลังเข้าไปจัดการที่ดินทำกินของชาวบ้าน อีกทั้ง ยังมีนายทุนที่อ้างว่ารู้จักกับคนในคสช.มาข่มขู่ให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ หากไม่ทำตามจะให้ทหารเข้ามาจัดการ
ขณะที่นายวีระยุทธ วรรณเลิศสกุล ตัวแทนกรมอุทยานฯได้ชี้แจงถึงหลักเกณฑ์การแบ่งพื้นที่ พร้อมระบุว่า ทางกรมอุทยานฯ ยังไม่ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการสั่งให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ แต่จะรีบนำเรื่องนี้ ไปตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี