เร่งพิสูจน์DNAพ่อยุ่น
ฟังผล9ทารกวันพุธนี้
กสม.จัดเวทีถกอุ้มบุญ
เชื่อพรบ.แก้ปัญหาได้
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 19 สิงหาคม พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 (ผบก.น.4) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการติดตามคดีอุ้มบุญ ว่าหลังจากได้รับหลักฐานคือตัวอย่างดีเอ็นเอ ที่อ้างว่าเป็นของ นายชิเกตะ มิตซูโตกิ อายุ 24 ปี เจ้าของเชื้อชาวญี่ปุ่นจาก นายก้อง สุริยมณฑล ทนายความของนายชิเกตะ แล้ว ทางพนักงานสอบสวนก็ได้ส่งตัวอย่างดีเอ็นเอให้กับเจ้าหน้าที่สถาบันนิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เพื่อตรวจเปรียบเทียบ ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการเร่งรัดให้ดำเนินการโดยเร็วที่สุด
ปัดให้ข่าวเด็ก9คนทำอุ้มบุญหมอพิสิฐ
พล.ต.ต.นัยวัฒน์ กล่าวถึงประเด็นที่มีสื่อมวลชนบางแห่งระบุว่า “เบื้องต้นมีความชัดเจนว่าหญิงไทย 9 คนที่รับจ้างอุ้มบุญนั้นได้ไปทำการฝั่งตัวอ่อนในครรภ์จาก นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล ที่คลินิก ออลไอวีเอฟ” ว่า ตรงนี้ต้องขออนุญาตปฏิเสธว่า คำที่พูดดังกล่าวตนไม่ได้เป็นคนพูด และขณะนี้ได้ทราบจากผู้สื่อข่าวซึ่งเป็นผู้พิมพ์ข่าวนี้แล้ว เบื้องต้นทราบว่าข้อความนี้นักข่าวทราบจากแหล่งข่าว ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นคำที่ตนพูด ซึ่งจริงๆ แล้ว ตนไม่ได้เป็นคนพูด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ได้ชี้แจงเสร็จสิ้น ก็ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมและเดินกลับออกไปทันที
กรรมการสิทธิ์ฯจัดเวทีถกอุ้มบุญ
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.30 น.ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้จัดเวทีสาธารณะเพื่อเสวนาเรื่อง “อุ้มบุญอย่างไร ไม่กระทบสิทธิ” โดยมีผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมการเสวนาอย่างคับคั่ง
เผยมีแนวคิดป้องกันมา10ปีแล้ว
นายสมชาย เจริญอำนวยสุข ผอ.สำนักกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กสม. กล่าวว่า ในเรื่องการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ หรืออุ้มบุญนั้น เรามีแนวคิดที่จะป้องกันปัญหานี้มาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว เพราะกฎหมายยังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยกฎหมายไทยระบุว่าเด็กเกิดจากท้องใคร คนนั้นคือแม่โดยชอบด้วยกฎหมาย เราจึงมีการร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ…ขึ้น เพื่อกำหนดสถานะความเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการช่วยเหลือสามีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่มีบุตรยาก
เชื่อพรบ.อุ้มบุญแก้ปัญหาได้หมด
นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ผู้ชำนาญการด้านสิทธิมนุษยชน เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กสม. กล่าวเสริมว่า ตนเชื่อว่ากฎหมายดังกล่าวจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์แทนในเชิงพาณิชย์ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะกฎหมายระบุให้หมอเป็นคนทำ และในประเทศไทยก็มีหมอไม่มากที่มีความรู้ความสามารถทำเรื่องนี้ได้ จึงไม่คิดว่าจะมีปัญหาเรื่องตลาดมืดในการรับตั้งครรภ์แทนกัน อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวจะเป็นการกำหนดสถานะของคู่สามีภรรยา หญิงที่รับตั้งครรภ์ และเด็กที่เกิดมาให้มีความชัดเจนขึ้น ซึ่งถือว่าไม่เป็นการกระทบสิทธิในด้านลบของคนกลุ่มดังกล่าว
แนะใช้อาสาสมัครตั้งครรภ์แทน
“เน้นย้ำให้ใช้อาสาสมัครในการตั้งครรภ์แทน เพื่อไม่ให้มีการรับจ้างตั้งครรภ์เชิงพาณิชย์ โดยจะมีคณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งตาม พ.ร.บ.นี้ ตรวจสอบความสัมพันธ์ตรวจสอบระหว่างสามี ภรรยา และผู้ทำบุญ หากพิสูจน์ได้ว่าไม่รู้จักกันหรือมีการว่าจ้างมา ก็ไม่อนุญาตให้ดำเนินการได้ชาวต่างชาติสามารถมาทำอุ้มบุญได้” นายสรรพสิทธิ์กล่าว
ให้คำนึงถึงสิทธิ์แม่อุ้มบุญด้วย
นางสุชาดา ทวีสิทธิ์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า กฎหมายในหลายประเทศจะห้ามให้มีการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์ อาทิ ญี่ปุ่น อังกฤษ สวีเดน ทำให้การอุ้มบุญเกิดในประเทศที่กำลังพัฒนาและด้อยพัฒนามากขึ้น โดยจะเกิดในประเทศที่มีช่องโหว่ของกฎหมาย หรือเกิดขึ้นแบบใต้ดินแทน ดังนั้น ต้องพิจารณาว่ากฎหมายอุ้มบุญนี้ จะสามารถบังคับใช้ได้จริงหรือไม่ หรือเราควรออกกฎหมายที่คำนึงถึงสิทธิของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนด้วย เพราะมีผู้หญิงบางคนเลือกเข้าสู่การรับจ้างตั้งครรภ์ด้วยความจำเป็นด้านเศรษฐกิจ
แพทย์เตือนพ่อแม่คิดให้รอบด้าน
นพ.ประมวล วีรุตมเสน สูตินรีแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ กล่าวว่า การทำอุ้มบุญแพทย์จะต้องแจ้งกับคู่สามี ภรรยาที่มีบุตรยากและต้องการมีบุตร ได้ทราบด้วยว่าผลที่ได้ไม่ได้มีแค่ให้มีบุตรแต่ต้องคำนึงด้วยว่าในการใช้อสุจิและรังไข่จะส่งผลต่อโครโมโซมหรือยีนทางพันธุกรรมที่จะถ่ายทอดจุดเด่น จุดด้อยทางพันธุกรรมมาด้วย ซึ่งหากได้รับอสุจิ รังไข่ มาจากผู้ที่ติดยาเสพติด หมายถึงเด็กอุ้มบุญรายนั้นจะมีแนวโน้มติดยาเสพติด หรือด้อยทางสติปัญญา ดังนั้น จึงจำเป็นต้องรู้หัวปลายเท้าของผู้ที่เราจะเอาอสุจิและไข่
ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมีสปิริต
นพ.ประมวล กล่าวว่า ในขณะเดียวกันผู้รับอาสาอุ้มบุญ เมื่อคลอดเด็กออกมาก็จะต้องมอบเด็กให้กับเจ้าของอสุจิและไข่ โดยไม่มีสิทธิ์อ้างสายเลือดหรือความผูกพันที่อุ้มท้องมา เพราะกรรมพันธุ์เด็กมาจากอสุจิและไข่ แต่หากพ่อแม่ทอดทิ้งเด็กหรือเสียชีวิตทางผู้รับอุ้มบุญต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูเด็กจนกว่ารัฐจะหาผู้รับอุปการะตามกฏหมายได้ ส่วนแพทย์ต้องมีจริยธรรมคำนึงสิทธิเด็กที่จะเกิดมาเป็นสำคัญ ไม่ใช่ตามใจผู้ที่มารับบริการทำอุ้มบุญจนคาบเกี่ยวกระทบศีลธรรม
ชี้ช่องให้สิทธิ์คู่รักข้ามเพศมีลูก
นพ.ประมวล กล่าวด้วยว่า ตนยังได้มองไปถึงสิทธิ์เกี่ยวกับการทำเด็กอุ้มบุญของคนอีกหลายกลุ่ม ได้แก่ คู่สามีภรรยาที่มีลูกยาก, กลุ่มชาย หรือหญิงที่อยากมีลูก แต่ไม่ต้องการแต่งงาน, กลุ่มของชายรักชาย หรือหญิงรักหญิง และกลุ่มที่แปลงเพศ ซึ่งจะต้องพิจารณาเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าสังคมพร้อมจะให้พวกเขาได้รับสิทธิ์ดังกล่าวนี้หรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี