ในการแก้ปัญหา ราคายางพาราตกต่ำ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ที่มีผลกระทบต่อ ค่าครองชีพ และการดำรงชีวิตของ เกษตรกรชาวสวนยางนั้นล่าสุดที่เห็นและเป็นข่าวทาง “สื่อ” ต่างๆ คือ การประชุมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่เป็น“เจ้าภาพ” นั่ง “หัวโต๊ะ” ประชุมร่วมกับ พ่อค้ายาง รายใหญ่ในประเทศ โดยเฉพาะในภาคใต้ ที่รู้จักกันในชื่อ “5 เสือ” ในวงการยางพารา
และหลังเสร็จการประชุม ได้มีการแถลงข่าวจาก พล.อ.ประวิตร ว่า ปัญหาราคายางตกต่ำเป็นเรื่อง “กล้วยๆ” และในอีก 1 เดือน ข้างหน้า ราคายางพาราจะขึ้นถึง กิโลกรัมละ 80 บาท เพราะผู้ค้ายางรายใหญ่ รับปากแล้วว่าจะทำการลุยซื้อยาง โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ใช้เงินกู้ เพื่อใช้ในการ “ชี้นำ” ตลาดให้ ราคายางสูงขึ้น
ในฐานะที่เป็น ลูกชาวสวนยาง ที่เติบโตมาจากการ “ตัดยาง” เพื่อส่งตัวเองให้เรียนหนังสือจนจบและมีงานทำอย่างในทุกวันนี้ และในฐานะของ “คนใต้” ที่รู้ดีว่า เส้นเลือดใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของคนใต้ และ เศรษฐกิจโดยรวมของภาคใต้ อยู่ได้เพราะ“ราคายาง” จึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ที่ทราบว่า ในอีก 1 เดือนข้างหน้า ราคายางจะ “ทะยาน” ถึงกิโลกรัมละ 80 บาท และที่ดีใจยิ่งกว่าคือ เพิ่งรู้ว่า เรื่องของการทำให้ยางขึ้นราคาเป็นเรื่อง “กล้วยๆ” ไม่ใช่เรื่อง ที่ยุ่งยากอย่างที่ นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่รัฐบาล “ส่งเกี้ยว” ไปเชิญมารับตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ เพื่อให้แก้ปัญหาราคายางโดยเฉพาะ
เสียดายเวลาตั้ง 2-3 เดือน ที่ผ่านมา ที่นายอำนวย พยายาม “ปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่ง” กับการแก้ปัญหาราคายางพารา เพื่อให้เกษตรกรขายได้ในราคา กิโลกรัมละ 60 บาท นี่ถ้า พล.อ.ประวิตร เรียก 5 เสือ หรือพ่อค้ายางในภาคใต้ไป ทำความเข้าใจ ตั้งแต่เกิดปัญหา ราคายางตกต่ำ ปานนี้ เกษตรกร เจ้าของสวน และ “ลูกจ้าง” ตัดยางก็ไม่ต้องถูกยึดรถยนต์ ไม่ต้องถูกผัดผ่อนหนี้สิน ไม่ต้องอยู่อย่าง “เสดสา” อย่างที่เป็นอยู่
ที่เขียนถึงเรื่องนี้ไม่ใช่ไม่เชื่อว่า พี่ใหญ่แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” อย่าง พล.อ.ประวิตร ทำในสิ่งที่พูดไม่ได้ เพียงแต่มีสิ่งของที่ทำความเข้าใจ กับผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการแก้ปัญหาราคายางให้เข้าใจ ถึงวิถีชีวิตของชาวสวนยางให้เห็นถึง“แก่นแท้” เพื่อที่จะได้เห็น“ของจริง” และจะได้แก้ปัญหาได้ถูกต้อง
ข้อที่ 1 ชาวสวนยาง ประกอบด้วยคน 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนที่ 1 คือเจ้าของสวนยาง ซึ่งมี 2 ประเภทด้วยกัน คือ เจ้าของสวนรายเล็ก ซึ่งทำหน้าที่ตัดยางเองกับเจ้าของสวนรายใหญ่ ที่จ้าง“ลูกจ้าง” เป็นผู้ตัดยาง
เจ้าของสวนรายเล็ก และรายใหญ่ ส่วนใหญ่นำน้ำยางที่ได้มาด้วยการ ทำยางแผ่นดิบและขายน้ำยางสด ไม่ได้ทำยางแผ่นรมควัน เจ้าของสวนเหล่านี้ ไม่รู้จักตลาดกลาง และไม่สามารถนำยางแผ่นดิบ น้ำยางสด และขี้ยาง เข้าไปขายในตลาดกลางได้ คืนส่วนใครอยู่ที่ หมู่บ้านไหน ตำบลไหน อำเภอไหน ก็ขายให้กับร้าน รับซื้อยาง และจุดรับซื้อน้ำยางสดที่นั่น
ในขณะที่ การแก้ปัญหาของรัฐบาล ของกระทรวงเกษตรฯ จะ “เน้นย้ำ” ในราคาอยู่ที่ตลาดกลาง ซึ่งเป็นการรับซื้อยางแผ่นรมควันชั้น 1 ชั้น 2 และ ชั้น 3 ซึ่งตลาดกลาง ทั้งที่ หาดใหญ่, สุราษฎร์ และนครศรีธรรมราช คือ ตลาดของนายทุน เจ้าของโรงรมที่ซื้อยางแผ่นดิบ จากชาวสวนยางในราคา กิโลกรัมละ 40 กว่าบาท เพื่อนำไปแปรสภาพเป็นยางแผ่นรมควัน และเป็นตลาดของสหกรณ์ต่างๆ ที่รับซื้อน้ำยางสดจากเกษตรกรมาผลิตเป็นยางแผ่นรมควัน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และส่งขายที่ตลาดกลาง
ซึ่งที่ตลาดกลางยางพารา ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน สิ่งที่เห็นกันจนชินตา คือ รถบรรทุกยางแผ่นที่ผ่านการ รมควันแล้วด้วยรถบรรทุก 10 ล้อ 6 ล้อ และกระบะ 4 ล้อ ไม่เคยเห็น มอเตอร์ไซค์ ของคนตัดยาง นำยางแผ่นดิบไปขายที่ตลาดกลางแต่อย่างใด ดังนั้นจึงอยากจะทำความเข้าใจกับผู้ที่เห็นข่าว ดูข่าวทาง“สื่อ” ต่างๆ ที่เห็นความ “อึกทึก” ที่ตลาดกลาง และ“ทึกทัก” ว่า นั่นคือ เกษตรกร คนตัดยาง เจ้าของสวนยางนำยางมาขายได้ราคาในกิโลกรัมละ 60 บาท อย่างที่เป็นข่าว
ก็ต้องยอมรับความจริง ตามที่ นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรฯ ที่เคยประกาศว่าในเดือน มกราคม จะได้เห็นราคายาง กิโลกรัมละ 60 บาท ซึ่งเป็นความจริงตามที่ได้ประกาศ เพราะขณะนี้ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ในตลาดกลาง ขายได้ในราคากิโลกรัมละ 60 กว่านิดๆ ตามที่ได้ “การันตี” เอาไว้ เมื่อปลายเดือน ธันวาคม ที่ผ่านมา
แต่ในข้อเท็จจริง ในขณะที่ ราคายางแผ่นรมควัน ในตลาดกลางขายได้ราคา กิโลกรัมละ 60 บาท ชาวสวนยาง ที่เป็นคนตัดยาง ตัวจริงเสียงจริงยังก้มหน้าก้มตาขายยางให้กับร้านรับซื้อยางใน หมู่บ้าน ตำบล และ อำเภอ กิโลกรัมละ 46 บาท และล่าสุดราคาน้ำยางสด ขายได้เพียงกิโลกรัมละ 38 บาทเท่านั้น นี่คือข้อเท็จจริง ที่ชาวสวนยางได้รับ
ก็เข้าใจ กับ “ศัพท์”ของ เสนาบดี หลายๆ ท่าน และเหล่าผู้นำชาวสวนยาง ที่บางคนตัดยางไม่เป็น และบางคนไม่มีสวนยางแม้แต่ต้นเดียว แต่มีผลประโยชน์อื่นๆ ในการเคลื่อนไหว ต่อสู่เพื่อชาวสวนยาง ที่ออกมากล่าวถึงการแก้ปัญหา ทำให้ราคายางสูงขึ้นด้วยการ “ซื้อยาง” ในราคาที่สูงขึ้นในตลาดกลางเพื่อการ “ชี้นำ” ตลาด เพื่อดึงให้ราคายางแผ่นดิบ และน้ำยางสด มีราคาแพงขึ้นแต่ที่ผ่านมา มีการซื้อยางในราคาสูงโดยใช้ กลไกตลาดกลาง และสหกรณ์ เพื่อ “ชี้นำ” ราคา เท่าที่เห็นด้วยการลงพื้นที่ และขอดู“ใบเสร็จ” การ “ขาย” ยาง ของคนตัดยาง เจ้าของสวนยาง พบว่า ราคายางแผ่นดิบ และน้ำยางสด ไม่ได้ “กระเตื้อง” ขึ้นตามราคารับซื้อ ที่ตลาดกลาง และที่สหกรณ์แต่อย่างใด
ในขณะที่“กลุ่มทุน” เจ้าของโรงรม ต่างได้รับ “อานิสงส์” จากการ ทุ่มเงินเป็นหมื่นล้านตามนโยบาย “มูลภัณฑ์กันชน” และอื่นๆ อีกหลายรูปแบบ เพื่อ “ชี้นำ” ตลาด ด้วยการ ซื้อยางแผ่นดิบ และน้ำยางสด ในราคาถูกนำมา“แปรรูป” เป็นยางแผ่นรมควัน นำไปขายที่ตลาดกลาง ได้ “ส่วนต่าง” จน “พุงปลิ้น” ส่วนเจ้าของสวนยาง คนรับจ้างตัดยาง ก็ต้อง “จำนน” เพราะไม่สามารถนำน้ำยาง มาทำยางแผ่นรมควัน เพื่อที่จะได้ ขาย ในราคาที่แพงๆ ในตลาดกลาง อย่างที่เป็นอยู่
และ...อีกประเด็นหนึ่ง ที่ขอแสดงความเสียใจต่อเจ้าของสวนยาง และลูกจ้างตัดยาง ที่อาจจะ ไม่ได้ “อานิสงค์” อะไรเลยจาก ยางกิโลกรัมละ 80 บาท ในอีก 1 เดือนข้างหน้า ตามประกาศของคณะปฏิวัติ เอ๊ย ขอโทษของ พล.อ.ประวิตรเพราะขณะนี้กำลังเข้าสู่หน้าแล้ง เข้าสู้ฤดูยาง“ผลัดใบ” ในเดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้ ดังนั้น ถ้าในเดือนมีนาคมราคายาง “ทะยาน” ไปสู่ กิโลกรัมละ 80 บาท ผู้ที่ได้รับ “ผลบุญ” ครั้งใหญ่ คือ กลุ่ม “นายทุน” เจ้าของโรงรมที่ไล่ซื้อ ยางแผ่นดิบ และน้ำยางสด ในราคา 38 บาท และ 46 บาท ในขณะนี้ไปตุนไว้ เพื่อที่จะนำไปทำเป็นยางแผ่นรมควัน และขายให้ตลาดกลางในราคา “ชี้นำ” ตามนโยบายของรัฐบาล
คำถามคือ นโยบายในการแก้ปัญหา ราคายางทั้งหมด ทั้งปวง ที่รัฐบาลชุดนี้ได้พยายาม ทำมาโดยตลาดนับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ และเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้ทำอย่างจริงจัง และจริงใจ สุดท้ายเป็นการทำเพื่อชาวสวนยาง“ตัวจริง” หรือทำเพื่อ “นายทุน” ที่เกาะกุม “กลไก” ของการตลาดไว้ในมือกันแน่
หรือชาวสวนยางรายย่อย ที่เป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศ และลูกจ้าง“ตัดยาง” ที่เป็น “รากหญ้า” อย่างแท้จริง ยังต้องกลายเป็น “เหยื่อ” ของระบบ“ทุน” และเป็น“บันได” เพื่อให้กลุ่มผู้หาผลประโยชน์ และแสวงหา “ตำแหน่ง” ของการเป็น “ผู้นำ” ไปสู่สิ่งที่ต้องการอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้
เมือง ไม้ขม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี