จากการที่กรมพัฒนาที่ดินมีนวัตกรรมในเรื่องของจุลินทรีย์ พด. ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนงานทางด้านการส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ ลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร และการทำเกษตรอินทรีย์ได้อย่างเห็นผลชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลพอดี ประกอบกับมีเครือข่ายหมอดินอาสาอยู่ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศกว่า 8 หมื่นราย เป็นเครือข่ายที่ร่วมกับกรมพัฒนาที่ดินในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้เห็นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ด้วยการดำเนินการจัดตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ขึ้น
นางกุลรัศมิ์ อนันต์พงษ์สุข รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการจัดตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์นั้น ทางกรม จะเข้าไปส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรที่มีความพร้อม โดยนโยบายในปี 2558 กำหนดไว้ให้ดำเนินการทุกจังหวัดทั่วประเทศ จังหวัดละ 1-2 กลุ่ม รวมทั้งหมด 87 กลุ่มทั่วประเทศ ซึ่งการแบ่งกลุ่มจะกำหนดให้เป็นกลุ่มธนาคารปุ๋ยอินทรีย์เป็นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก โดยกลุ่มธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ขนาดใหญ่ต้องมีเกษตรกรร่วมดำเนินการโครงการอย่างน้อย 30-50 ราย ส่วนขนาดกลางต้องมีอย่างน้อย 20-30 ราย และขนาดเล็กต้องมีเกษตรกรที่ร่วมโครงการอย่างน้อย 10-20 ราย ซึ่งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ธนาคารน้ำหมักชีวภาพ ธนาคารปุ๋ยหมักสูตรพระราชทาน และธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด
กุลรัศมิ์ อนันต์พงษ์สุข
ธนาคารน้ำหมักชีวภาพ กำหนดให้มีการผลิตน้ำหมักชีวภาพเริ่มต้นสำหรับกลุ่มใหญ่ อย่างน้อยกลุ่มละ 1 หมื่นลิตร สำหรับกลุ่มขนาดกลางมีการผลิตน้ำหมักชีวภาพเริ่มต้น 7 พันลิตร และกลุ่มขนาดเล็กมีการผลิตน้ำหมักชีวภาพเริ่มต้น 5 พันลิตร ซึ่งกรมพัฒนาที่ดินจะสนับสนุนงบประมาณเบื้องต้นในส่วนของ ถังหมัก กากน้ำตาล ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ พด. พร้อมกับให้คำแนะนำทางวิชาการในการผลิตน้ำหมักชีวภาพ รวมถึงการนำน้ำหมักชีวภาพไปใช้ประโยชน์ในการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับพืช การเพิ่มฮอร์โมนให้กับพืช อัตราการใช้และช่วงเวลาที่จะใช้ที่เหมาะสมในแต่ละชนิดพืช สำหรับการรวมกลุ่มกันจะให้มีการตั้งคณะกรรมการของธนาคารแล้วก็มีการบริหารจัดการ มีการทำบัญชี การฝาก การถอน การเบิก ดอกเบี้ยต่างๆ สำหรับในส่วนของการกู้ยืมไปใช้ สมาชิกก็สามารถที่จะกู้ยืมน้ำหมักชีภาพไปใช้ในไร่นาของตัวเองได้ และเวลานำน้ำหมักชีวภาพมาคืน ก็จะมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเป็นน้ำหมักชีวภาพหรืออาจจะนำวัตถุดิบ ที่เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตน้ำชีวภาพก็ได้
ธนาคารปุ๋ยหมักสูตรพระราชทาน การผลิตปุ๋ยหมักสูตรพระราชทาน สำหรับกลุ่มขนาดใหญ่ ต้องผลิตอย่างน้อย 100 ตัน กลุ่มขนาดกลาง 70 ตัน และกลุ่มขนาดเล็ก 50 ตัน โดยกรมพัฒนาที่ดินสนับสนุนงบประมาณบางส่วน ที่จะเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตปุ๋ยหมักสูตรพระราชทาน แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งก็จะให้กลุ่มพึ่งตัวเองในเรื่องของธนาคาร และก็จะมีระเบียบปฏิบัติการกู้ยืม การเบิกไปใช้ การคืนดอกเบี้ย ถ้ามีวัตถุดิบเข้ามาในธนาคารกี่กิโล ก็จะมีกำหนดว่าเมื่อเป็นปุ๋ยหมักแล้วจะนำกลับไปใช้ในไร่นาได้กี่กิโลกรัม หรือถ้าเกษตรกรบางรายช่วงนั้นขาดแคลนวัตถุดิบและมีความจำเป็นจะต้องใช้ปุ๋ยหมักสูตรพระราชทานก็สามารถกู้ยืมจากธนาคารได้
ธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด ถ้าเป็นกลุ่มขนาดใหญ่กรมพัฒนาที่ดินก็จะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดเริ่มต้นที่ 10 ตัน สำหรับกลุ่มขนาดกลางจะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดเริ่มต้นที่ 7 ตัน และกลุ่มขนาดเล็กจะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดเริ่มต้นที่ 5 ตัน การกู้ยืม หรือการนำไปใช้ถ้าเบิกจากธนาคารไปใช้แล้วให้สมาชิกไถกลบลงไปในดินส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งต้องกันพื้นที่ไว้เพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดแล้วนำมาส่งคืนให้ธนาคาร สำหรับการฝาก การถอนจะใช้เงื่อนไขเดียวกันกับธนาคารน้ำหมักชีวภาพ และธนาคารปุ๋ยหมักสูตรพระราชทาน
รองอธิบดีกุลรัศมิ์ กล่าวต่อไปว่า การจัดตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้เกษตรกรมีความผูกพันกับสมาชิกในกลุ่ม มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน โดยมีเจ้าหน้าที่ของ กรมพัฒนาที่ดินที่เรียกว่า วิทยากรระดับพื้นที่ของกรม ซึ่งมีทุกจังหวัดทั่วประเทศร่วมกับเครือข่ายหมอดินอาสา ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหมอดินอาสาที่มีความรู้ความสามารถและนำมาอบรมให้เป็นวิทยากรหมอดินอาสา มาให้คำแนะนำในธนาคารปุ๋ยแต่ละประเภท และช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมทั้งเป็นการเชื่อมโยงระหว่างชุมชนกับกรมพัฒนาที่ดินให้มีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น การเข้าถึงบริการงานพัฒนาที่ดินก็จะได้มีประสิทธิภาพและสามารถที่จะทำให้เกษตรกรมีความสุขและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“การดำเนินการในปี 2558 จะเป็นการทำงานต่อเนื่องจากปี 2557 มีการขยายผลในเรื่องของการพัฒนาสู่ความเข้มแข็งสำหรับการต่อยอดเองในปีต่อไป จะจัดสรรงบประมานส่วนหนึ่งที่จะขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล ในการที่จะมาเพิ่มจำนวนกลุ่มให้มากขึ้นเพื่อที่จะให้มีการขยายผลในการลดใช้สารเคมีทางการเกษตร การพึ่งตนเองของเกษตรกร ในเรื่องของการทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและก็การสร้างกระแสการยอมรับให้กับเกษตรกรได้รับการดูแลและมีรัฐบาลหรือ กรมพัฒนาที่ดินที่จะเป็นเพื่อนคู่คิด เหมือนที่ว่ามีปัญหาปรึกษากรมพัฒนาที่ดิน หรือมีปัญหาปรึกษาหมอดินอาสา” นางกุลรัศมิ์ กล่าว
เกษตรกรรายใดสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกธนาคารน้ำหมักชีวภาพ ธนาคารปุ๋ยหมักสูตรพระราชทาน และธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด สามารถติดต่อได้ที่สถานีพัฒนาที่ดินทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 12 เขต หรือจะติดต่อที่ กรมพัฒนาที่ดิน สายด่วน 1760 หรือสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของกรมพัฒนาที่ดิน www.ldd.go.th
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี