เร่งเช็คประวัติ 20 ตุรกี
เข้าไทยก่อนบึ้ม15วัน
ใช่ชายเสื้อเหลืองหรือไม่
ค้นแท็กซี่พบ9รอยนิ้วมือ
เยียวยาเพิ่มรายละ5หมื่น
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดบริเวณศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ เมื่อค่ำวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา รวมทั้งเหตุระเบิดที่ท่าน้ำสาทร ในวันท่ี
่ 18สิงหาคม ว่า เรื่องคดีระเบิดอยากให้ไปสอบถาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง เพราะลงไปทำงานใกล้ชิดกับคดีนี้ ถ้าพูดคนละทีอาจจะทำให้ไม่ตรงกันและอาจบิดเบือน อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามีพยานบุคคลและก็มีรถแท็กซี่ที่ได้รับคนร้ายก่อนเกิดเหตุ หลังจากนี้ก็ต้องพยายามทำทุกวิถีทาง ว่าจะได้พยานหลักฐานอะไรจากรถแท็กซี่บ้าง อาทิ การตรวจหาดีเอ็นเอ หรือหลักฐานอื่นที่คาดว่าคนร้ายจะทิ้งไว้ มาเป็นหลักฐานประกอบกับการสอบสวน เพื่อเป็นแนวทางในการติดตามจับกุมคนร้าย
ยังไม่ฟันธงจนกว่าหลักฐานชัด
สำหรับกรณีที่สำนักข่าวต่างประเทศพยายามวิเคราะห์ว่าผู้ก่อเหตุเป็นชาวต่างชาตินั้น พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เรื่องวิเคราะห์ห้ามกันไม่ได้ ใครจะวิเคราะห์อย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของเขา เพราะเขามีแนวความคิด มีทฤษฎี และมีฐานข้อมูล หรือพยานหลักฐานที่แตกต่างกันไป บางสำนักก็บอกว่าเรื่องนั้น บางสำนักก็บอกว่าเรื่องนี้ แต่ทางตำรวจ ยังไม่บอกว่าเรื่องอะไรทั้งสิ้นจนกว่าจะมีพยานหลักฐานที่แน่นอน ส่วนจะใช้เวลานานเท่าใดถึงจะมีหลักฐานที่แน่นอนนั้น ตนตอบไม่ได้ เอาเป็นว่า ผ่านไป 7-8 วัน ตำรวจไม่ได้หลับได้นอน ทุกคนทำงานเหมือนหัวน็อตหัวสกรู มันกดดัน ไม่ได้กดดันจากสื่อและสังคม แต่กดดันตัวเอง เพราะเรามีความมุ่งมั่นที่จะจับคนร้ายให้ได้
ติงตร.ปล่อยสื่อสัมภาษณ์พยาน
เมื่อถามว่าจากการตรวจสอบของหน่วยข่าว พอจะมีความชัดเจนว่ามีการติดต่อกับคนต่างชาติแล้วหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เราทำทุกเรื่องทุกทาง แต่รายละเอียดในคดีบอกไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ตนขอตำหนิตำรวจ สน.ลุมพินี ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน ที่พาพยานคือคนขับรถแท็กซี่มาทีกองพิสูจน์หลักฐานโดยไม่มีการปิดบัง ปล่อยให้สื่อสัมภาษณ์ แล้วอย่างนี้จะเป็นพยานที่ถูกปกปิดไปทำไม ขอฝากว่าอย่าทำในลักษณะที่ปล่อยให้พยานต้องถูกเปิดเผยตัว และขอร้องสื่อมวลชนด้วยว่าอะไรที่มันยังไม่ควรที่จะเปิดเผย ก็อย่าได้เปิดเผย เพราะตำรวจจะทำงานยาก
รับอาจเกิดจากปม’อุยกูร์’ก็ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุระเบิดอาจเกิดจากกลุ่มอุยกูร์ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ท่านนายกฯ คงมีข้อมูลในหลายด้าน เพราะท่านเป็นผู้นำประเทศ ส่วนตนมีข้อมูลแค่ไหนก็พูดได้แค่นั้น และบางสิ่งบางอย่างถ้าตนมองแล้วว่าตำรวจไม่ควรพูด พูดแล้วอาจเกิดความเสียหาย ก็ไม่ควรพูด อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ก็ต้องฟังท่านนายกฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้นำมาวิเคราะห์ต่อไป โดยต้องดูว่าท่านนายกฯ มีข้อมูลอะไรบ้าง เพราะมีการประชุมทุกวัน
ย้ำอีกรอบขาดเครื่องมือไฮเทค
“ตำรวจได้คัดกรองเบอร์โทรศัพท์คัดจากหมื่นหมายเลขมาเหลือเพียง 10-20 เบอร์ แต่ปัญหาคือเราไม่มีเครื่องมือคัดกรองโทรศัพท์หรือคัดกรองใบหน้าบุคคล หากมีเครื่องมือเหล่านี้การทำงานจะง่ายขึ้น เพราะเครื่องมือคัดกรองใบหน้าจะมีกรอบสี่เหลี่ยมจับภาพใบหน้าของทุกคนพร้อมกันในเฟรมเดียว หากเป็นภาพบุคคลต้องสงสัยก็จะแจ้งเตือนขึ้นมา ตำรวจก็ดูดข้อมูลมาตรวจสอบ เครื่องมือทันสมัยเหล่านี้ไม่มีในไทย แต่ในโลกเขามีกันแล้ว” ผบ.ตร.กล่าว
ประวุฒิคาดมือบึ้มเผ่นนอกแล้ว
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยืนยันว่า ยังไม่มีรายงานข่าวว่า มีกลุ่มก่อความรุนแรงใด ทั้งกลุ่มเกรย์วูล์ฟส์ หรือกลุ่มอื่นๆ เข้ามาเคลื่อนไหวในประเทศไทย และเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ โดยขอสื่อมวลชนอย่าเพิ่งให้น้ำหนักกับกลุ่มใด พร้อมยืนยันว่า ฝ่ายสืบสวนทำงานอย่างเต็มที่ รวมทั้งตรวจสอบฐานข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ย้อนหลัง 2-3 เดือน กับภาพบุคคลต้องสงสัยก่อเหตุระเบิด แต่ยังไม่พบตรงกับบุคคลต้องสงสัยตามภาพจากกล้องวงจรปิด จึงยังไม่สามารถตัดประเด็นใดทิ้งได้ แต่ยอมรับ มีความเป็นไปได้ว่า ผู้ก่อเหตุระเบิดอาจหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
เตรียมลงสอบแหล่งท่องเที่ยว
โฆษก สตช. ยังเปิดเผยว่า ขณะนี้ ตำรวจอยู่ระหว่างเร่งตรวจสอบหลักฐาน ทั้งดีเอ็นเอ ภาพจากกล้องวงจรปิด รวมทั้งหาช่วงเวลาและเส้นทางของคนร้ายที่แน่ชัด ซึ่งปัญหาความไม่ต่อเนื่องของกล้องวงจรปิดเป็นอุปสรรคสำคัญ และยังอยู่ระหว่างการรอภาพคนร้ายที่ส่งไปปรับความคมชัดในต่างประเทศ จึงยังไม่สามารถออกหมายจับบุคคลใดเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ตำรวจเตรียมขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาแว่นติดตั้งกล้องและลงโปรแกรมตรวจสอบใบหน้า หรือแว่นโรโบคอปมาใช้ในการตรวจสอบบุคคลต้องสงสัย ตามแหล่งท่องเที่ยว หรือจุดเสี่ยงต่างๆ
คสช.คาดสาวถึงตัวผู้ก่อเหตุ
วันเดียวกัน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. แถลงถึงการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทรว่า ภาพรวมในปัจจุบันมีความคืบหน้าตามลำดับ ตำรวจได้ดำเนินการอย่างรอบคอบรัดกุม ให้ความสำคัญกับทุกประเด็นที่ได้ตั้งสมมติฐานไว้ และจากข้อมูลและพยานหลักฐานที่รวบรวมได้เป็นจำนวนมากในขณะนี้ คาดว่าจะสามารถนำไปสู่การระบุและยืนยันตัวบุคคลผู้ก่อเหตุได้ในที่สุด ทั้งนี้ เพื่อให้การดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างทั่วถึง หน่วยงานด้านความมั่นคงจะได้เร่งรัดตรวจสอบมาตรการรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ทั้งของส่วนราชการและภาคเอกชน เพื่อค้นหาช่องว่างที่อาจยังมีอยู่และนำไปเป็นข้อมูลในการป้องกันและป้องปรามการก่อเหตุอันไม่พึงประสงค์ พร้อมทั้งขอขอบคุณผู้ที่พบเบาะแสต่างๆ แล้วโทร.แจ้งมาที่สายด่วน 1515
ตม.สอบเติร์กเข้าไทยก่อนบึ้ม
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าด้านรูปคดีว่า ตำรวจชุดสืบสวนคลี่คลายคดีระเบิดแยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร ได้ประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ให้ช่วยตรวจสอบการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยของชาวตุรกีว่า 20คน ซึ่งมีประวัติเดินทางเข้าไทยก่อนเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ 15วัน โดยให้นำข้อมูลจากการบันทึกภาพบุคคลเข้าประเทศที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบันทึกไว้นำมาเข้าโปรแกรมตรวจสอบใบหน้าเทียบกับภาพถ่ายชายสวมเสื้อเหลืองที่ถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ซึ่งกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ และภาพสเก็ตช์จากคำให้การของพยานว่ามีรายใดที่ใบหน้าตรงกันหรือคล้ายกันหรือไม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
พบ9ลายนิ้วมือแฝงในแท็กซี่
ส่วนความคืบหน้าหลังตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าเก็บวัตถุพยานในรถแท็กซี่ที่รับผู้โดยสารชาวต่างชาติที่มีลักษณะคล้ายบุคคลตามหมายจับจากริม ถ.พระราม 4 ใกล้อาคารชาญอิสระ ไปส่งบริเวณใกล้สถานีหัวลำโพง ก่อนที่ชายต้องสงสัยรายนี้จะโดยสารรถตุ๊กๆ ต่อไปยังแยกราชประสงค์นั้น ล่าสุดพบว่า มีรอยลายนิ้วมือแฝงของบุคคลที่ไม่ใช่โชเฟอร์แท็กซี่คันนี้รวม 9 คน ซึ่งได้นำไปเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือแฝงบุคคลในทะเบียนประวัติอาชญากรทั้งที่เป็นคนไทย หรือชาวต่างชาติที่ก่อเหตุในไทย เบื้องต้นไม่พบว่าตรงกับใคร ขณะที่ภายในรถแท็กซี่คันนี้พบเส้นผมและเส้นขนจำนวนหนึ่ง กำลังอยู่ระหว่างกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ ในการตรวจหาดีเอ็นเอ
เยียวยาเหยื่อบึ้มอีก5หมื่น
ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม(ยธ.) มอบหมายให้ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงฯ เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา โดยมี พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพ นำข้อมูลการเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ เมื่อ 17 สิงหาคม เข้าเสนอเพื่อให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติ เงินเยียวยา จากเดิมจ่ายให้ทายาทของผู้เสียชีวิตรายละ 1แสนบาท เพิ่มเป็นรายละ 1.5แสนบาท ทั้งนี้ ได้พิจารณาจ่ายเงินให้กับผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าว รวม 78ราย แบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 20ราย รวมเป็นเงิน 3,000,000บาท และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 58ราย นอกจากนี้ได้มีการพิจารณาคดีอาญาทั่วไป รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 60ล้านบาท
เริ่มบูรณะท้าวมหาพรหม
วันเดียวกัน นายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ รองอธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วยประติมากรและช่างศิลปกรรม จากสำนักช่างสิบหมู่ เริ่มทำการบูรณะศาลท้าวมหาพรหมแยกราชประสงค์ โดยแบ่งทีมประติมากรและช่างออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกบูรณะ องค์ท้าวมหาพรหมที่ได้รับความเสียหาย 4 จุดใหญ่ ได้แก่ บริเวณคาง สังวาร นิ้ว และหน้าแข้ง โดยใช้ปูนปาสเตอร์เขียวปั้นเสริมในส่วนที่เสียหาย หลังจากแห้งจะลงรักปิดทองโดยใช้ทองคำเปลวหนัก 2,500 กรัม ปิดทับให้เรียบร้อย ส่วนที่2 คือบูรณะซุ้มด้านหน้าที่แตกร้าว ช่างนำกระจกมาประดับให้สวยงามกลับสู่สภาพเดิม
4ก.ย.จัดพิธีบวงสรวงใหญ่
สำหรับการบูรณะศาลท้าวมหาพรหมในครั้งนี้ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 70,000บาท มีกำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 3 กันยายน จากนั้นวันที่ 4 กันยายน จะมีพิธีบวงสรวงองค์ท้าวมหาพรหม เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งจัดการแสดงโขนสมโภชน์ เรื่องรามเกียรติ์ โดยนักแสดงจากสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ในบริเวณรอบศาลท้าวมหาพรหม
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการคุมผ้ารอบซุ้มท้าวมหาพรหม ในระหว่างการบูรณะ แต่ยังเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว สามารถเข้ามาสักการะองค์ท้าวมหาพรหมได้เช่นเดิม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี