วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568
โรคใบด่างมันสำปะหลัง เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) โดยมีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะ หากโรคนี้เกิดการแพร่ระบาดจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลังแทบจะสิ้นเชิง แม้ว่าประเทศไทยยังไม่พบโรคนี้มาก่อน แต่ขณะนี้มีการแพร่ระบาดอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านคือกัมพูชา ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้โรคดังกล่าวเข้ามายังอาณาเขตและทำลายผลผลิตของเกษตรกร ตลอดจนสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในอนาคต
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า โรคใบด่างมันสำปะหลังเป็นโรคที่อุบัติขึ้นที่ประเทศแอฟริกา และแพร่ระบาดต่อไปยังประเทศอินเดียและศรีลังกา ซึ่งแต่ละประเทศที่เกิดโรคดังกล่าว ได้สร้างความเสียหายต่อมันสำปะหลังอย่างสิ้นเชิงชนิดที่ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต้องล้มละลายมาแล้ว เนื่องจากมันสำปะหลังที่เป็นโรคจะมีอาการใบด่าง เหลือง ลำต้นแคระแกร็น ผลผลิตเสียหาย 80-100% ที่สำคัญคือยังไม่มียาหรือสารเคมีชนิดใดที่จะป้องกันกำจัดได้
.jpg)
ล่าสุดพบการระบาดใน จ.รัตนะคีรี ประเทศกัมพูชา ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร จึงเตรียมมาตรการเข้มงวดป้องกันไม่ให้โรคใบด่างมันสำปะหลังเข้ามายังประเทศไทยได้เด็ดขาด เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายใหญ่ของโลก สร้างรายได้เข้าประเทศปีละ 20,000 กว่าล้านบาท หากปล่อยให้โรคนี้เกิดขึ้นไม่เพียงเฉพาะสร้างความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลังซึ่งกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรเท่านั้น ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องตามมา ที่สำคัญสุดคือกระทบความเชื่อมั่นในเวทีการค้าโลกด้วย
สำหรับมาตรการป้องกันโรคใบด่างมันสำปะหลังนั้น แบ่งเป็นมาตรการที่ 1 เฝ้าระวังตามเขตแนวชายแดน โดยได้ขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามด่านพรมแดน/จุดผ่อนปรนทางการค้า และด่านตรวจพืช ตลอดแนวพรมแดนไทย-กัมพูชา ช่วยกันป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้มีโรคใบด่างมันสำปะหลังเล็ดลอดเข้ามาได้ ซึ่งโรคดังกล่าวจะเข้ามาได้มี 2 ลักษณะ คือ ท่อนพันธุ์ซึ่งมีเชื้อโรคใบด่างที่ติดมาจากแหล่งที่พบการระบาด แม้ว่าท่อนพันธุ์จะเป็นสิ่งต้องห้ามในการนำเข้าประเทศอยู่แล้ว แต่เกรงว่าจะมีการลักลอบนำเข้ามา จึงต้องเฝ้าระวังและตรวจสอบอย่างเคร่งครัด อีกลักษณะคือมาจากแมลงหวี่ขาวที่เป็นพาหะของโรคดังกล่าวนอกจากนี้ ยังต้องเฝ้าระวังพืชอาศัยอื่นๆ เช่น โหระพา ใบกะเพรามะเขือเปราะ มันฝรั่ง หรือพืชตระกูลถั่ว ซึ่งพืชเหล่านี้แม้ไม่ใช่ที่สะสมของเชื้อไวรัสสาเหตุของโรคใบด่าง แต่เป็นพืชอาศัยของแมลงหวี่ขาว จึงต้องตรวจสอบพืชเหล่านี้ด้วยว่ามีแมลงหวี่ขาวที่มาจากแหล่งที่พบการระบาดติดมาหรือไม่ เพราะอาจเป็นตัวพาหะที่นำโรคเข้ามาในประเทศได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าพบท่อนพันธุ์และแมลงหวี่ขาวติดมากับผลผลิตต้องเผาทำลายทันที
.jpg)
มาตรการที่ 2 สำรวจและเฝ้าระวังพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่เสี่ยง 6 จังหวัดติดเขตชายแดน ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษและอุบลราชธานี ซึ่งขณะนี้ได้วางแผนสำรวจพื้นที่เสี่ยง รวม 450,000 ไร่ เพื่อเก็บตัวอย่างไปวิเคราะห์ว่ามีลักษณะอาการส่อว่าจะเป็นโรคดังกล่าวหรือไม่ จะได้กำจัดได้ถูกต้องทันท่วงที พร้อมทั้งต้องตรวจสอบทุกแหล่งปลูกมันสำปะหลังที่สำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนนี้ เป็นช่วงที่เกษตรกรต้องการหาท่อนพันธุ์เพื่อเตรียมการเพาะปลูกในฤดูฝนที่จะมาถึง ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ มาตรการสุดท้ายคือการทำความเข้าใจกับประเทศคู่ค้าว่าประเทศไทยวันนี้ไม่มีโรคใบด่างมันสำปะหลัง
ทั้งนี้ ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังในประเทศไทยมีพันธุ์ดีอยู่แล้วมากมายที่ผ่านการรับรองพันธุ์จากหน่วยงานราชการ ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ จึงขอความร่วมมือเกษตรกรไม่ให้นำเข้าท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่มาจากแหล่งที่มีการระบาดของโรคใบด่าง หากพบการลักลอบนำเข้าจะมีโทษตาม พ.ร.บ.กักพืช โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ เกษตรกรควรสังเกตหากพบลักษณะมันสำปะหลังที่มีอาการใบด่างผิดปกติ ต้นไม่เจริญเติบโต ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่เกษตร หรือศูนย์วิจัยพืชไร่ในพื้นที่โดยเร็วที่สุด เพื่อลงไปตรวจสอบว่าเกิดจากสาเหตุใด อาจจะเกิดจากขาดธาตุอาหาร ขาดน้ำเพราะภาวะภัยแล้ง หรือถ้าเกิดจากโรคใบด่างมันสำปะหลัง จะได้รีบดำเนินการหยุดยั้ง เนื่องจากถ้าพิสูจน์ได้เร็วเท่าไรก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวมเท่านั้น
“โรคใบด่างมันสำปะหลัง หากเกิดขึ้นแล้วไม่มียาหรือสารเคมีตัวใดที่จะกำจัดได้เลย ฉะนั้นถ้าโรคนี้หลุดลอดเข้ามาในประเทศไทยได้ จะสร้างความเสียหาย 80-100% อย่างแน่นอน เราทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้โรคนี้เข้ามาในประเทศได้ เพราะมีตัวอย่างจากหลายประเทศที่ประสบปัญหาโรคใบด่างจนต้องล่มสลายจากการทำมันสำปะหลังมาแล้ว” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวย้ำ
.jpg)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี