รายงานพิเศษ : ‘เขื่อน’หรือ‘ป่า’ช่วยแก้วิกฤติภัยแล้ง?

รายงานพิเศษ : ‘เขื่อน’หรือ‘ป่า’ช่วยแก้วิกฤติภัยแล้ง?

วันพุธ ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
Tag :

ภัยแล้งในครั้งนี้...ดูเหมือนว่า “เขื่อน” จะกลายเป็นจำเลยกลายเป็นผู้ร้ายอีกครั้ง

“...เขื่อน ไม่เห็นช่วยภัยแล้งได้เลย มีเขื่อนก็ไม่มีน้ำ นาปรังก็ไม่ได้ทำ นาปีก็ต้องเลื่อน แล้วอย่างนี้จะสร้างเขื่อนทำไม...?” นี่คือข้อความที่เขียนกันในโซเซียลต่างๆ แถมกลุ่มต่อต้านการสร้างเขื่อนยังออกมาสนับสนุนอีก ด้วยว่า “...เขื่อน คือ ตัวทำลายป่า เมื่อไม่มีป่าก็ไม่มีน้ำ...” นอกจากนี้ยังมีข้อความอีกมากมายที่ทำให้ผู้ที่ได้อ่านเข้าใจว่า “เขื่อน” เป็นผู้ร้ายทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง


ในขณะที่ “ป่า” ได้เป็นพระเอก เพราะเอ็นจีโอบอกว่าป่าคือแหล่งกักเก็บน้ำถาวร ในขณะที่เขื่อนคือแหล่งกักเก็บน้ำชั่วคราว ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำได้เลย และยังเป็นผู้ทำลายป่า

หากได้อ่านแล้วไม่คิดตริตรองก่อน ต้องต่อต้านการสร้างเขื่อนทุกรูปแบบ แน่นอน !!!

ป่า...เป็นพระเอกข้อนี้น่าจะเป็นจริง เพราะป่ามีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยดูดซับและกักเก็บน้ำ เอาไว้ในพื้นดิน และซึมลงไปเป็นน้ำใต้ดิน จากนั้นค่อยๆ ระบายลงสู่ลำห้วย ลำธารอย่างช้าๆ ทำให้มีน้ำไหลในลำธารตลอดทั้งปี เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์ป่าและสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุกรรม สามารถป้องกันและลดความรุนแรงจากภัยธรรมชาติต่างๆ ช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ช่วยป้องกันแม่น้ำลำธารไม่ให้ตื้นเขิน ป้องกันการกัดเซาะและพังทลายของหน้าดิน ช่วยลดตะกอนที่ไหลมากับน้ำ ช่วยเพิ่มปริมาณอาหารให้แก่สัตว์น้ำในแหล่งน้ำตอนล่าง เป็นต้น

ในขณะที่ “ป่า” ควรค่าแก่การอนุรักษ์อย่างยิ่ง แล้ว “เขื่อน”คือ ผู้ร้ายทำลายป่า จนเกิดปัญหาภัยแล้ง และเขื่อนไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำได้ถาวรจริงหรือ?

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ตั้งแต่ประเทศไทยได้ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งมาเป็นเวลามากกว่า 100 ปี มีการเปลี่ยนสภาพป่าไม้เป็นพื้นที่น้ำ และอาคารชลประทานประเภทเขื่อน รวมกันไม่เกิน 2 ล้านไร่ หรือร้อยละ 7.5 ของพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมทั้งหมดในปัจจุบัน หรือ ประมาณร้อยละ 3 ของพื้นที่ป่าที่สูญเสียไปทั้งหมดเท่านั้น

พื้นที่ป่าของประเทศไทยมีอยู่เท่าไร และอะไรคือสาเหตุสำคัญของการสูญเสียป่า?

ข้อมูลจากเวทีสัมมนาเรื่อง ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตด้านทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ปี 2504 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าประมาณ 171 ล้านไร่ หรือร้อยละ 53 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ส่วนปัจจุบันป่าเหลืออยู่เท่าไรนั้น มีข้อมูลจากกรมป่าไม้ระบุว่า ในปี 2555 ป่าไม้เหลืออยู่ 108 ล้านไร่ และการสำรวจล่าสุดเมื่อ 2558ที่ผ่านมามีพื้นที่ป่าไม้ลดลงเหลือแค่ 102 ล้านไร่เท่านั้น นั่นหมายความว่าระยะเวลา 54 ปีที่ผ่านมา เราต้องสูญเสียป่าไปถึง 69 ล้านไร่ หรือปีละกว่า 1.2 ล้านไร่ ในจำนวน 69 ล้านไร่ที่สูญเสียไป เป็นการเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำ เพราะโครงการพัฒนาแหล่งน้ำไม่ถึง 2 ล้านไร่ และถ้าหากคิดเฉพาะโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่เป็นการสร้างเขื่อน ยิ่งสูญเสียป่าน้อยลงไปอีกหลายเท่า...แล้วอย่างนี้จะว่า

“เขื่อน” คือ ผู้ทำลายป่า คงไม่ถูกต้องนัก!!!

สาเหตุสำคัญของการสูญเสียป่า ก็คือ การบุกรุกทำลายป่าอย่างต่อเนื่อง โดยมีขบวนการตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ๆ ทั้งไม้สัก ไม้พะยูง นอกจากนี้ ยังมีการบุกรุกพื้นที่เพื่อทำกิน ทำเกษตรกรรม ปลูกยางพารา สวนปาล์ม หรือแม้แต่สร้างรีสอร์ท ส่งผลทำให้สภาพป่าในแทบทุกพื้นที่เข้าสู่สภาวะเสื่อมโทรม ระบบนิเวศน์ป่าขาดสมดุล สร้างความเสียหายให้กับประเทศ เมื่อเกิดภัยพิบัติต่างๆ ก็จะรุนแรงขึ้น


จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า “เขื่อน” ไม่ใช่ตัวการทำลายป่าดังนั้นสาเหตุของความแห้งแล้ง จึงไม่น่าจะมาจากการสร้างเขื่อนเช่นกัน

สมเกียรติ ประจำวงษ์

แล้ว...วิกฤติภัยแล้งที่เกิดขึ้นในปีนี้ มาจากอะไร

จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ในช่วงปี 2556-2558 ฝนตกค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะในฤดูฝนปี 2558 ที่ผ่านมาปริมาณฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก สาเหตุสำคัญ น่าจะมาจากปรากฏการณ์เอลนินโญ่ที่เกิดขึ้น ส่วนสาเหตุที่ฝนตกน้อยเนื่องจากป่าไม้ถูกทำลายนั้น ก็อาจจะมีผลเช่นกันเพราะป่าให้ความชุ่มชื่น อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาปริมาณน้ำที่ไหลลงเขื่อนจำนวนมากส่วนใหญ่จะมาจากมรสุมเป็นหลัก

“น้ำ” จะมาจากฝนที่ตก โดยเฉลี่ยต่อปีแล้วจะมีฝนตกลงมาในประเทศไทยประมาณ 736,800 ล้านลบ.ม. โดยส่วนใหญ่จะตกในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ในจำนวนนี้จะซึมลงสู่พื้นดินเป็นน้ำบาดาลประมาณ 102,800 ล้าน ลบ.ม. อีกส่วนหนึ่งก็จะระเหยไปในอากาศ ถูกดักอยู่ตามต้นไม้ ชั้นดิน หลุม บ่อต่างๆ ไม่สามารถประเมินได้ว่ามีปริมาณเท่าไร แต่ที่เหลือจะอยู่บนผิวดินซึ่งเรียกว่า “น้ำท่า” มีประมาณ 185,200 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ทั้งประเทศมีความต้องการใช้ประมาณ 151,750 ล้าน ลบ.ม.

หากพิจารณาระหว่างปริมาณน้ำท่าที่มีอยู่ กับความต้องการใช้น้ำของประเทศก็น่าจะเพียงพอ แม้ในปีที่ผ่านมาปริมาณฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยก็ตาม แต่ที่ไม่เพียงพอเพราะเราไม่สามารถกักเก็บน้ำท่าไว้ได้ทั้งหมด และแหล่งกักเก็บน้ำที่มีอยู่ก็ไม่ได้ครอบคลุมในทุกพื้นที่อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันเราสามารถกักเก็บน้ำท่าไว้ได้ประมาณ 79,900 ล้านลบ.ม. เมื่อรวมกับปริมาณน้ำในแม่น้ำ ลำคลองต่างๆ ที่สามารถควบคุมได้จะมีปริมาณน้ำที่จัดสรรใช้ในกิจกรรมต่างๆทั้งสิ้นประมาณ 102,000 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ยังขาดอีกประมาณ 49,800 ล้านลบ.ม.ต่อปี ถึงจะเพียงพอกับความต้องการ

แนวทางที่จะทำให้น้ำมีเพียงพอกับความต้องการ มีอยู่ 3 แนวทางหลักๆคือ 1.ลดปริมาณการใช้ลงให้สมดุลกับปริมาณที่สามารถกักเก็บได้ 2.ฟื้นฟูแหล่งน้ำเดิมที่มีอยู่เพื่อเพิ่มปริมาณการกักเก็บ

แต่...เมื่อดำเนินการทั้ง 2 แนวทางแล้ว ปริมาณน้ำยังไม่เพียงพอ จำเป็นจะต้องดำเนินแนวทางที่ 3 คือ สร้างแหล่งกักเก็บน้ำแห่งใหม่ทุกรูปแบบ ซึ่งหมายถึงจะต้องสร้าง “เขื่อน” สร้างอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น

ป่าไม้...แม้จะช่วยดูดซับและกักเก็บน้ำ แต่เราไม่สามารถที่จะควบคุมได้ เช่น วันนี้ต้องการใช้น้ำ 10 ล้าน ลบ.ม. เราไม่สามารถที่จะจุดธูปขอเจ้าป่า เจ้าเขาปล่อยน้ำออกมาให้ 10 ล้านลบ.ม.ได้ จำเป็นจะต้องมีเครื่องมือในการควบคุมน้ำนั่นก็คือ การสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำตามศักยภาพของแต่ละลุ่มน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำที่ไหลออกมาจากป่า และน้ำฝนที่ตกลงมา ไม่ให้ไหลทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ จากนั้นก็นำมาจัดสรรใช้ในกิจกรรมต่างๆ ให้เพียงพอกับความต้องการ

ยิ่งในปัจจุบันภัยทางธรรมชาติค่อนข้างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม หรือ ภัยแล้ง ยิ่งจำเป็นจะต้องมีแหล่งกักเก็บน้ำให้ครอบคลุมทุกๆ ลุ่มน้ำ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น อย่างเช่นในปีนี้ ประเทศประสบวิกฤติภัยแล้ง หากเราไม่มีเขื่อน โดยเฉพาะลุ่มเจ้าพระยา ถ้าไม่มี 4 เขื่อนหลักแล้ว ปัญหาน้ำจะวิกฤติมากกว่านี้ร้อยพันเท่าแน่นอน เพราะเรามีเขื่อนแม้น้ำจะมีน้อย แต่ก็เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยรอดพ้นวิกฤติแล้งในครั้งนี้ไปได้

พื้นที่ป่าสูญเสียไปกว่า 69 ล้านไร่ ตามทวงคืนมาพัฒนาปลูกต้นไม้ฟื้นฟูป่า ได้สักครึ่งหนึ่งประมาณ 34.5 ล้านไร่ ก็ยังดี และขอกันพื้นที่ไม่ถึง 500,000 ไร่ มาพัฒนาเปลี่ยนเป็นแหล่งกักเก็บน้ำช่วยประชาชนและประเทศชาติ ไม่ใช่เอาไปให้บุคคลใดบุคคลหนึ่่ง คงไม่ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าลดลง และคงไม่ทำให้สัตว์ป่าต้องสูญพันธุ์หรอกครับ

ป่าก็ยังเป็นพระเอกเหมือนเดิม แต่เขื่อนก็ไม่ใช่ผู้ร้ายนะครับ ขอเป็นนางเอก หรือ พระรอง ช่วยพระเอกสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับประเทศชาติจะได้ไหม....?

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top