พื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยเป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ข้าวโพด พืชตระกูลถั่ว และพืชผักอีกหลายชนิด โดยในปัจจุบันการเพาะปลูกในหลายๆ พื้นที่กำลังประสบกับปัญหาภัยแล้งที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้ปริมาณน้ำตามเขื่อนต่างๆ ลดลงอย่างมาก อีกทั้งฝนที่เคยตกตามฤดูกาลก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ จึงทำให้การเพาะปลูกในบางพื้นที่ต้องยกเลิกไป แต่ก็ยังมีเกษตรกรบางส่วนที่พร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายลดพื้นที่การทำนาปรังเพื่อลดการใช้น้ำและให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยหลังนาแทนการปลูกข้าว โดยพืชทางเลือกที่เหมาะสมในการปลูกนั้นเป็นพืชที่อายุสั้น ทนแล้ง และให้ผลผลิตเร็ว
นายอุทัย นพคุณวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 1 (สวพ.1) กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมให้เกษตรกรเลือกปลูกพืชใช้น้ำน้อยหลังจากการทำนา นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกษตรกรจะได้รับจากการปลูกพืชแบบเดิมแล้ว การปลูกพืชใช้น้ำน้อยจะช่วยตัดวงจรการระบาดของแมลงศัตรูข้าว เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพิ่มปริมาณผลผลิตให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้นและลดการนำเข้าผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยมีพืชหลายชนิดที่เหมาะสมในการปลูกพืชหลังการทำนา สำหรับการเลือกพืชที่เกษตรกรจะนำมาปลูกนั้นจะต้องใช้หลักการ 4 อย่างเพื่อพิจารณา คือ 1.เลือกชนิดของพืชที่ใช้ปลูกให้ตรงกับความต้องการของตลาดมีความเหมาะสมกับพื้นที่ 2.ปรับพื้นที่ให้เหมาะสมในการจัดการน้ำ 3.เลือกช่วงเวลาการปลูกที่เหมาะสมตามชนิดของพืช และ 4.ให้น้ำในช่วงเวลาและปริมาณที่เหมาะสม
นายนฤนาท ชัยรังษี นักวิชาการการเกษตรปฏิบัติการ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 1 (สวพ.1) กล่าวว่า สำหรับพืชหลังนามีหลายชนิด เช่น มันฝรั่งพืชตระกูลถั่ว ข้าวโพดหวาน กระเทียม หอมแดง มะเขือเทศ ฝักทองและเห็ดฟาง ฯลฯ โดยพืชแต่ละชนิดสามารถปลูกได้ทันทีหลังจากการทำนาเสร็จสิ้นเนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวความชื้นในดินยังมีอยู่อย่างพอเหมาะซึ่งพืชสามารถเจริญเติบโตได้และนอกจากนี้เพื่อเป็นแนวทางในการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรควรจะมีการศึกษาการใช้พันธุ์พืชที่ดี มีคุณภาพ ใส่ปุ๋ยตามผลการวิเคราะห์ดินอย่างถูกสูตร ถูกเวลา ถูกอัตราและถูกวิธี การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชควรจะใช้ในช่วงเวลาและอัตราที่เหมาะสม และเกษตรกรควรจะนำเอาเครื่องจักรการเกษตรเข้ามามีส่วนร่วมในการทำการเกษตรมากขึ้น
นายบุญมี บุณทาทิพย์ เกษตรกรตำบลสันป่ายาง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า แต่เดิมทำการเกษตรในระบบ ปลูกข้าวแล้วปลูกข้าวหรือพืชไร่อื่นๆ ซึ่งหลังจากที่กรมวิชาการเกษตรได้นำเทคโนโลยีการผลิตพืชที่เหมาะสมเข้าไปทดสอบในพื้นที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืช ตนจึงได้เปลี่ยนมาทำการเพาะปลูกระบบ ปลูกข้าวแล้วปลูกถั่วเหลือง เนื่องจากพื้นที่การเกษตรในบริเวณนั้นมีปริมาณน้ำค่อนข้างจำกัด อีกทั้งราคาข้าวตกต่ำ โดยกรมได้แนะนำให้เกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เองซึ่งจะได้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของลดต้นทุนการผลิตนอกจากนี้ยังนำเครื่องจักรกลไปทดสอบและแนะนำให้เกษตรกรรวมกลุ่มเพื่อซื้อเครื่องเกี่ยวข้าว และเครื่องปลูกถั่วเหลืองไว้ใช้แบบหมุนเวียนเพื่อลดปัญหาเรื่องของค่าจ้างแรงงาน
บุญมี บุณทาทิพย์
เช่นเดียวกันกับ นายสมคิด ยะแสน เกษตรกรตัวอย่าง ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ตนได้ทำการเพาะปลูกระบบ ปลูกข้าวแล้วปลูกถั่วเหลือง หรือ ปลูกข้าวโพดแล้วปลูกถั่วลิสง มากกว่า 10 ปี ซึ่งทางกรมวิชาการเกษตรได้เข้ามาศึกษาและให้คำแนะนำ พบว่ายังมีการใช้ปัจจัยการผลิตยังไม่ถูกต้อง จึงทำให้ผลผลิตที่ได้คุณภาพต่ำและมีต้นทุนการผลิตที่สูง เจ้าหน้าที่จึงแนะนำวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องให้ ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตของกลุ่มเกษตรกรที่ร่วมโครงการได้ 5-25 เปอร์เซ็นต์
ส่วนใหญ่เป็นการลดต้นทุนด้านการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี พร้อมทั้งนำเครื่องจักรทางการเกษตรเข้ามาใช้ร่วมกับกระบวนการผลิตให้มากขึ้นเพื่อลดต้นทุนด้านแรงงาน โดยแต่เดิมนั้นการจ้างแรงงานคนเก็บเกี่ยวข้าวมีต้นทุนสูงถึง 800 บาทต่อไร่ แต่เมื่อนำเครื่องมือการเกษตรเข้ามาใช้ ต้นทุนเหลือเพียง 400 บาทต่อไร่ ส่วนถั่วเหลืองหากใช้แรงงานคนปลูกมีต้นทุน 600-800 บาทต่อไร่ หากใช้เครื่องปลูกสามารถลดต้นทุนเหลือ 300-400 บาทต่อไร่ และสามารถเพิ่มรายได้โดยการรับจ้างปลูกถั่วเหลืองอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า การนำเอาระบบการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเข้ามาปรับใช้แทนการปลูกพืชระบบเดิม และนำเครื่องจักรกลมาใช้แทนแรงงานคน จะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเกษตรกรสามารถเพิ่มช่องทางการจำหน่ายได้มากขึ้น เนื่องจากปกติเกษตรกรจะปลูกข้าวเพื่อขายข้าวเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่เกษตรกรปลูกข้าวและปลูกพืชหลังนาทำให้เกษตรกรมีช่องทางในการจำหน่ายผลผลิตการเกษตรเพิ่มขึ้นและลดความเสี่ยงจากการทำนาได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งถ้าหากเกษตรทั่วประเทศนำวิธีการดังกล่าวไปปรับใช้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาคการเกษตรอาจจะลดน้อยลงได้อย่างยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี