รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายและวิสัยทัศน์ว่า “ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการผลิตมั่นคง ความเสียหายจากอุทกภัยลดลง คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ภายใต้การพัฒนาอย่างสมดุลโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน”
ปัจจุบันไทยมีความต้องการใช้น้ำประมาณปีละ 151,750 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) โดยภาคเกษตรมีความต้องการสูงสุดถึง 113,960 ล้านลบ.ม. หรือร้อยละ 75 ที่เหลือเป็นการใช้น้ำเพื่อการรักษาระบบนิเวศร้อยละ 18 เพื่อการอุปโภค ร้อยละ 4 เพื่อการอุตสาหกรรมร้อยละ 3
ประเทศไทยแม้ปีนี้จะประสบภาวะภัยแล้งเกือบทั่วประเทศ แต่หากพิจารณาค่าเฉลี่ยปริมาณฝนตกรายปีแล้ว ถือว่าเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่มีความมั่นคงเรื่องน้ำ แต่ที่ยังไม่มั่นคงเพราะปริมาณฝนตกจำนวนมหาศาลถึง 700,000 ล้าน ลบ.ม.นั้น ระเหยไปประมาณ 400,000 ล้าน ลบ.ม. และซึมลงดินประมาณ 100,000 ล้าน ลบ.ม. ทำให้เหลือปริมาณน้ำที่นำไปใช้ได้จริงหรือที่เรียกกันว่าน้ำท่าเพียง 200,000 ล้าน ลบ.ม.
ที่สำคัญปริมาณน้ำท่าจำนวนดังกล่าว สามารถเก็บกักน้ำไว้ในอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 480 แห่ง รวมกับประมาณ 79,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งไม่ถึงครึ่งของปริมาณน้ำท่าที่เกิดขึ้น
ขณะที่พื้นที่การเกษตรในประเทศไทยมีทั้งหมด 149 ล้านไร่ จากการสำรวจและศึกษาเบื้องต้นของกรมชลประทานพบว่า เป็นพื้นที่เกษตรน้ำฝน 119 ล้านไร่ และมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมในเขตชลประทานได้อีกประมาณ 18.8 ล้านไร่เท่านั้น หากต้องการเพิ่มพื้นที่ชลประทานมากกว่านี้ จำเป็นจะต้องใช้เทคนิคอื่นๆ ในการจัดหาน้ำ เช่น น้ำบาดาล การผันน้ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ตามยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้กำหนดไว้ว่า จะต้องเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ได้อย่างน้อย 8.7 ล้านไร่ ภายในปี 2569 แต่การเพิ่มพื้นที่ชลประทาน จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการเก็บกับน้ำต้นทุน ควบคู่ ไปกับการเพิ่มประสิทธิการบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ที่ผ่านมา กรมชลประทานได้เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำอย่างต่อเนื่อง มีการจัดการแข่งขันมอบรางวัลให้กับกลุ่มผู้ใช้น้ำ และโครงการชลประทานที่บริหารจัดการน้ำดีเด่นเป็นประจำทุกปี แต่ด้วยปริมาณน้ำต้นทุนที่มีจำกัด เมื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำแล้ว ปริมาณน้ำในหลายพื้นที่ก็คงไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น จำเป็นต้องหาแหล่งเก็บกักน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มปริมาณการเก็บน้ำของแหล่งน้ำเดิมที่มีอยู่ และการพัฒนาแหล่งน้ำแห่งใหม่ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร เพราะต้องทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทำให้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ โดยเฉพาะการสร้างอ่างเก็บน้ำแห่งใหม่เพื่อเพิ่มปริมาณการเก็บกักน้ำต้นทุนทำได้ยากและใช้เวลานาน
เมื่อโครงการพัฒนาแหล่งน้ำใหม่ๆ ต้องใช้ระยะเวลา กรมชลประทานจึงได้ปรับมาดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำของอ่างเก็บน้ำเดิมที่มีอยู่ให้เต็มศักยภาพเท่าที่สามารถทำได้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และเสริมความมั่นใจในเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ชลประทานเดิม รวมทั้งสามารถขยายพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นจากเดิมได้
สำหรับอ่างเก็บน้ำที่จะเพิ่มปริมาณการเก็บกัก ตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของอ่างเก็บน้ำ ที่กรมชลประทานบรรจุไว้ในแผนการก่อสร้างมีทั้งหมด 20 แห่งคือ อ่างฯศาลทราย จ.จันทบุรี อ่างฯคลองพระพุทธ จ.จันทบุรี อ่างฯห้วยแร้ง จ.ตราด อ่างฯพระปรง จ.สระแก้ว อ่างฯคลองใหญ่ จ.ระยอง อ่างฯหนองปลาไหล จ.ระยอง อ่างฯคลองหลวง จ.ชลบุรี อ่างฯคลองสียัด จ.ฉะเชิงเทรา อ่างฯคลองวังบอน จ.นครนายก อ่างฯทรายทอง จ.นครนายก อ่างฯทรายทอง จ.นครนายก อ่างฯห้วยปรือ จ.นครนายก อ่างฯทับเสลา จ.อุทัยธานี อ่างฯคลองสะเดา จ.สงขลา อ่างฯท่างิ้ว จ.ตรัง ฝายแม่ยม จ.แพร่ อ่างฯแม่สอง จ.แพร่ อ่างฯคำปอง จ.แพร่ อ่างฯแม่มาน จ.แพร่ อ่างฯแม่ถาง จ.แพร่ และอ่างฯกุดตาเพชร จ.ลพบุรี
นอกจากนี้ยังมีโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของอ่างเก็บน้ำ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 5 แห่ง คือ อ่างฯบางวาด จ.ภูเก็ต อ่างฯแม่มอก จ.ลำปาง อ่างฯห้วยตารู จ.ศรีสะเกษ อ่างฯคลองตรอน จ.อุตรดิตถ์ อ่างฯคลองสะเดา จ.สงขลา
รวมทั้งยังมีโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของอ่างเก็บน้ำ ที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาเบื้องต้นอีกหลายแห่ง เช่น อ่างฯน้ำแหง จ.น่าน อ่างฯแม่ปืม จ.พะเยา อ่างฯห้วยใหญ่ จ.นครสวรรค์ อ่างฯคลองโพธิ์ จ.นครสวรรค์ อ่างฯห้วยท่าแพ จ.สุโขทัย อ่างฯลำพันชาด จ.อุดรธานี อ่างฯห้วยถ้ำเข้ จ.อุบลราชธานี อ่างฯห้วยพญาเสือ จ.อุบลราชธานี อ่างฯห้วยจันลา จ.อุบลราชธานี อ่างฯห้วยยาง จ.บุรีรัมย์ อ่างฯห้วยขนาดมอญ จ.สุรินทร์ อ่างฯอำปึล จ.สุรินทร์ อ่างฯเขาระกำ จ.ตราด อ่างฯคลองระบม จ.ฉะเชิงเทรา อ่างฯห้วยขอนแก่น จ.เพชรบูรณ์ อ่างฯคลองลำกง จ.เพชรบูรณ์ อ่างฯห้วยขุนแก้ว จ.อุทัยธานี อ่างฯลำตะเพิน จ.สุพรรณบุรี และอ่างฯห้วยสำนักไม้เต็ง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มประสิทธิภาพของอ่างเก็บน้ำที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มปริมาณการเก็บกักน้ำได้ไม่มากนัก รวมกันทั้งหมดได้น้ำมาไม่ถึง 350 ล้านลูกบาศก์เมตร และที่สำคัญจะเป็นเพียงการเพิ่มความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับพื้นชลประทานเดิม หรือขยายพื้นที่ชลประทานได้เฉพาะพื้นที่ที่ใกล้เคียงพื้นที่ชลประทานเดิมเท่านั้น ส่วนพื้นที่ลุ่มน้ำอื่นๆ ที่ยังไม่มีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ
ก็จะไม่ได้รับประโยชน์แต่อย่างใด ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนควบคู่ไปด้วย
ยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะต้องเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ได้อย่างน้อย 8.7 ล้านไร่ ภายในปี 2569 ซึ่งเท่ากับว่า จะต้องหาทางบริหารจัดการน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นให้ได้ประมาณ 9,500 ล้านลูกบาศก์เมตร
การดำเนินการของกรมชลประทาน ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มปริมาณการเก็บกักของแหล่งน้ำเดิม สร้างแก้มลิงเพิ่มขึ้น ก็ยังไม่เพียงพอ จำเป็นจะต้องสร้างอ่างฯเก็บน้ำแห่งใหม่ ทั้งขนาดกลาง และขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น ในลุ่มน้ำที่มีศักยภาพ หรือแม้แต่ต้องดำเนินโครงการผันน้ำจากลุ่มน้ำอื่นๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น โครงการผันน้ำสาละวิน-ภูมิพล โครงการโขง เลย ชี มูล เป็นต้น ก็ควรจะเร่งดำเนินการ
หากต้องการเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ได้ตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลวางไว้นั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และรัฐบาลจะต้องมีนโยบายด้านการเกษตรและด้านทรัพยากรธรรมชาติที่ชัดเจน ควรจะลดขั้นตอนและกระบวนการพัฒนาแหล่งน้ำ และการขอใช้พื้นที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ เพื่อที่จะสามารถพัฒนาอ่างเก็บน้ำให้ได้ตามเป้าหมาย
ส่วนผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้นย่อมมีบ้าง แต่เมื่อพิจารณาถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ที่ได้รับ เป็นผลดีต่อส่วนรวมและประเทศชาติมากกว่า ก็ควรจะดำเนินการก่อสร้าง เพราะโครงการพัฒนาทุกโครงการ “ย่อมมีได้และมีเสีย” แต่ถ้าสิ่งที่เสียไปสามารถบรรเทา หรือชดเชยได้ก็น่ายอม และที่สำคัญโครงการพัฒนาแหล่งน้ำไม่ใช่ตัวการใหญ่ในการทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายป่า
พื้นป่าที่ถูกบุกทำลายจำนวนมหาศาล กลายเป็นเขาหัวโล้นล้วนแต่เกิดจากคนที่เข้าไปบุกรุกทั้งสิ้น!!
หากรัฐบาลกล้าตัดสินใจ เป้าหมายและวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่กำหนดไว้....ไม่ไกลเกินฝัน...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี