2 มิ.ย.59 เมื่อเวลา 14.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีแถลงการณ์คณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย ได้กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า จะให้แพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจมาตรวจอาการของพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) หากยืนยันว่าอาพาธจริง ก็ยินดีเข้ามาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดพระธรรมกายนั้น
โดยนายองอาจ กล่าวชี้แจงว่า
1. หากทางดีเอสไอ มีท่าทีอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น เรื่องก็คงจบไปนานแล้ว แต่ขณะนี้ การแสดงออกของดีเอสไอ ที่ผ่านมาทำให้คณะศิษยานุศิษย์ไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางของดีเอสไอ
2. ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ทางวัดจะมีหนังสือไปถึงดีเอสไอ แจ้งว่า หลวงพ่อธัมมชโย อาพาธโดยมีใบรับรองแพทย์ยืนยันโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางถึง 3 ท่าน และแพทย์ผู้ตรวจก็ได้เดินทางไปรอให้ข้อมูลรายละเอียดที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ยอมให้คณะแพทย์เข้าไปให้รายละเอียดต่อที่ประชุมพนักงานสอบสวน แม้ทางวัดขอให้ส่งแพทย์จากหน่วยงานกลางมาตรวจอาการพระเทพญาณมหามุนีที่วัด แต่ทางดีเอสไอ ก็ปฏิเสธและไปยื่นขอหมายจับที่ศาลทันทีถึง 2 ครั้ง
3. มีการออกข่าวว่าใบรับรองแพทย์ของพระเทพญาณมหามุนี เป็นเท็จ แม้ภายหลังทางแพทยสภาจะออกมายืนยันว่า เป็นใบรับรองแพทย์ที่ถูกต้อง ก็ยังมีความพยายามจะเล่นงานแพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์ โดยส่งเจ้าพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ ไปสอบสวนที่โรงพยาบาลค่ายภานุรังษี จังหวัดราชบุรี ว่าการออกใบรับรองแพทย์ผิดขั้นตอนของโรงพยาบาลหรือไม่ พฤติกรรมการแสดงออกของพนักงานสอบสวนในคดีนี้ ทำให้แพทย์ผู้ตรวจรักษาเกิดความหวาดกลัว แม้จะปฏิบัติหน้าที่ตรวจรักษาผู้ป่วยตามจรรยาบรรณแพทย์ก็อาจเกิดความเดือดร้อนได้
4. คณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ของดีเอสไอ ได้เชิญ นายมโน เลาหวนิช ซึ่งเป็นคู่กรณีผู้กล่าวโจทก์พระเทพญาณมหามุนี เข้าร่วมประชุมกับคณะพนักงานสอบสวน และเป็นผู้ชี้นำวิธีการจัดการกับพระเทพญาณมหามุนีให้พนักงานสอบสวน ทำให้คณะศิษยานุศิษย์ รู้สึกว่า คณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ มีจุดยืนที่ทำให้สงสัยได้ว่าไม่เป็นกลาง ตั้งตนเป็นคู่ปรปักษ์กับพระเทพญาณมหามุนี
5. ดีเอสไอได้ทำหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอกำลัง จำนวน 4 กองร้อย หรือ 600 นาย พร้อมอาวุธครบมือ รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ โดยดีเอสไอ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เมื่อรวมกับกำลังของดีเอสไอ ซึ่งปรากฏตามรายงานข่าวของสื่อมวลชนว่า มีรถหุ้มเกราะพร้อมออกปฏิบัติการ และกำลังของเจ้าหน้าที่หน่วยอื่น ดูประหนึ่งว่า ดีเอสไอกำลังจะทำสงครามกลางเมืองโดยยกกำลังนับพันนายพร้อมรถหุ้มเกราะและเฮลิคอปเตอร์บุกเข้าวัดในพระพุทธศาสนา เพื่อจับกุมพระภิกษุชรา อายุกว่า 72 ปี ที่กำลังอาพาธหนักเป็นเพียงผู้ต้องหา ยังไม่ได้สอบสวน ยังไม่ได้ตกเป็นจำเลยในคดีเลย เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจต่อคณะสงฆ์ทั่วประเทศ ศิษยานุศิษย์พระเทพญาณมหามุนี และชาวพุทธทั่วโลกเป็นอย่างมาก มีองค์กรพุทธทั่วโลกส่งหนังสือมาทักท้วงการทำงานของดีเอสไอ ยังท่านนายกรัฐมนตรีมากมาย ปรากฏเป็นข่าวไปทั่วโลก สร้างความเสื่อมเสียแก่ภาพลักษณ์ของประเทศชาติอย่างร้ายแรง จน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาปรามไม่ให้ดีเอสไอใช้มาตรการรุนแรง
6. เมื่อวันที่ 4 ต.ค.2542 เคยเกิดกรณีที่หลวงพ่อธัมมชโยอาพาธ ไอมาก มีเสมหะปนเลือด โดยมีใบรับรองแพทย์ จึงขอเลื่อนการไปพบพนักงานสอบสวน แต่พนักงานสอบสวนไม่เชื่อ จึงได้พาแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ 2 นายมาตรวจอาการที่วัด เสร็จแล้วแพทย์โรงพยาบาลตำรวจวินิจฉัยว่า ท่านไปได้ และบังคับให้ท่านออกเดินทางไปกับพนักงานสอบสวน วันรุ่งขึ้น อาการของหลวงพ่อธัมมชโย จึงทรุดหนักอาเจียนเป็นเลือด ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 1 เดือน และกลับมารักษาตัวที่วัดอีก 3 เดือนอาการจึงดีขึ้น โดยไม่มีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด มิหนำซ้ำ ยังได้เล่นงานแพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์ โดยแพทยสภาสั่งพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 1 เดือน แพทย์ทั้ง 2 ท่าน จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง จนสุดท้ายศาลปกครองมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 1175/2547 เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2547 ว่า คำสั่งของแพทยสภาดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่งของแพทยสภา แต่ก็ไม่มีผู้ใดรับผิดชอบต่ออาการเจ็บป่วยร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับหลวงพ่อธัมมชโย จากการวินิจฉัยที่ผิดพลาดของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจทั้ง 2 ท่านนั้น
7. พฤติกรรมของพนักงานสอบสวนในคดีนี้มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 17 ปีก่อนมาก คณะศิษยานุศิษย์ จึงไม่มั่นใจในความเป็นกลางของพนักงานสอบสวนในคดีนี้
และ 8. คดีพิเศษที่ 27/2559 นี้ เป็นการดำเนินคดีที่ซ้ำซ้อนกับคดีพิเศษที่ 146/2556 พยานหลักฐานที่ใช้ในการดำเนินคดีก็นำมาจากการสอบสวนพยานหลักฐานในคดีที่ 146/2556 การดำเนินคดีที่ 27/2559 นี้ จึงไม่ถูกต้องชอบธรรมมาตั้งแต่ต้น เหมือนการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อๆไปก็ผิด ทำให้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ทางคณะศิษยานุศิษย์ จึงขอแสดงจุดยืนเรียกร้องให้ทางดีเอสไอรวมสำนวนการสอบสวนคดีที่ 27/2559 เข้ากับคดีที่ 146/2556 และสอบสวนพยานหลักฐานด้วยความโปร่งใสเป็นธรรม เพื่อเป็นมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องดีงามของสังคมสืบไป
เมื่อถามว่า ถ้ามีกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเข้ามาภายใน ทางวัดจะมีการสังเกตสกัดกั้นอย่างไร นายองอาจ กล่าวว่า ต้องตรวจสอบก่อนว่า กลุ่มบุคคลที่เข้ามาภายในวัด เขาสื่อสัญลักษณ์ในทางที่ผิดหรือไหม แต่เท่าที่เห็นก็มีแค่สื่อเกี่ยวกับวัดเท่านั้น แต่ถ้าเข้ามาสื่อเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งไม่ได้เป็นตามนโยบายของทางวัดก็จะเชิญออกไป รวมไปถึงอดีตนักการเมือง หรือกลุ่มที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็จะเชิญออกไป เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันไม่เป็นใจ และทำให้ภาพลักษณ์ทางวัดเสื่อมเสีย
เมื่อถามว่า ถ้าทางดีเอสไอเข้ามาจับพระธัมมชโย ทางเจ้าหน้าที่จะมีการปฏิบัติอย่างไร นายองอาจ กล่าวว่า คิดว่าทางดีเอสไอคงเข้าตามตรอก ออกตามประตู ถ้าเจ้าหน้าที่ของวัดปกป้องคงมีความผิดตามกฎหมาย ก็ทำได้แค่นั่งสมาธิเท่านั้น
อ่านข่าว
แจงเชิญ'การ์ดแดง'พ้นจากพื้นที่แล้ว 'ธรรมกาย'ยันวัดปลอด'การเมือง'
ศิษย์ธรรมกายเอาผิด'บุคคลชื่อดัง' ฐาน'ใส่ไคล้'ทำศรัทธา'วัด'หมอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี