เมื่อแรกเข้ามานั่งในตำแหน่งเจ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พลเอกฉัตรชัยสาริกัลยะ ได้ตระเวนเยี่ยมเยียนหน่วยงานต่างๆ เพื่อทำความรู้จักกับหน่วยงาน และเพื่อประกาศนโยบายของตนเอง จำได้ว่านอกเหนือจากเรื่องลดต้นทุนการผลิต ซึ่งชูโรงเป็นนโยบายหลักถึงขั้นประกาศว่า“ปี 2559 เป็นปีแห่งการลดต้นทุนการผลิต” แล้ว เรื่องของ “เกษตรอินทรีย์” ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่บิ๊กฉัตร ถือเป็นนโยบายสำคัญ ที่บอกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า จะต้องมีการวางเป้าหมายให้ชัดเจนว่าจะเพิ่มจำนวนเกษตรกรที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในพื้นที่การเกษตรของเกษตรกรได้มากน้อยเพียงใด ในระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้จะมีจำนวนเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้ทราบว่าเกษตรอินทรีย์จะไปถึงเป้าหมายหรือไม่ และเมื่อไร
แรกๆ ท่านคงยังเข้าใจเกษตรอินทรีย์ไม่ลึกซึ้งนัก บรรดาผู้ช่วย ที่ปรึกษา หรือคนรอบข้างทั้งหลายก็ไม่ได้เข้าใจเกษตรอินทรีย์อย่างลึกซึ้งเช่นกัน คงเข้าใจเพียงว่าการปลูกพืชโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ก็เป็นเกษตรอินทรีย์แล้ว จึงคิดว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะเอาเรื่องนี้มาเป็นนโยบายผลักดันให้เกิดผล
แต่เกษตรอินทรีย์ เป็นระบบการผลิตที่มีเงื่อนไขให้เกษตรกรปฏิบัติมากมาย ตั้งแต่พื้นที่ปลูกต้องว่างเว้นจากการใช้ปุ๋ยเคมี หรือสารเคมีมาอย่างน้อย 3 ปี ต้องเป็นพื้นที่ดอน และโล่งแจ้ง อยู่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรม อยู่ห่างจากแปลงเพาะปลูกที่ใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมี แหล่งน้ำที่ใช้เพาะปลูกต้องปลอดสารพิษและสิ่งปนเปื้อน
ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ในระบบการผลิต เมล็ดพันธุ์ที่ใช้ปลูกต้องไม่คลุกสารเคมี ไม่ใช้พันธุ์พืชที่เป็นพืชดัดแปรพันธุกรรม หรือ GMO มูลสัตว์ที่ใช้ทำปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยอินทรีย์ต้องไม่ใช่มูลสัตว์ที่เลี้ยงอย่างผิดมาตรฐาน จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่จำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดปุ๋ยนั้นต้องได้รับการรับรองมาตรฐานเสียก่อน กระบวนการผลิตต้องปราศจากสิ่งปนเปื้อนสารเคมี ประเภทเอากระดาษหนังสือพิมพ์มารองผลผลิต หรือมาห่อผลผลิตก็ไม่ได้ เพราะกระดาษหนังสือพิมพ์ มีหมึกพิมพ์ที่เป็นเคมี เหล่านี้เป็นต้น
แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว.....สำหรับเกษตรอินทรีย์ เท่านั้นยังไม่พอ แม้จะผลิตตามกระบวนการเกษตรอินทรีย์ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นผลผลิตที่มาจากกระบวนการผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์ก็ยังไม่ใช่ผลผลิตเกษตรอินทรีย์ หรือOrganic ถ้าวางขายกันแบบชาวบ้าน บอกกันปากต่อปากไม่ต้องมีการรับรองก็คงขายได้ แต่ถ้าจะทำการตลาดสู่ซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้า หรือ ส่งออก จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เสียก่อน
เห็นยัง...ว่าไม่ได้ง่ายเลยสำหรับการผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์ ...เจ้ากระทรวงเกษตรฯ ก็คงเห็นเช่นกัน หลังจากว่าการมาพักหนึ่งกระแสเกษตรอินทรีย์จึงผ่อนลงมาเป็น GAP โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลั่นวาจาว่า “อย่างน้อยสินค้าเกษตรต้องเป็น GAP” หรือเป็นผลผลิตในระบบการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี หรือพูดง่าย ๆ ว่า “สินค้าเกษตรต้องปลอดภัย”
GAP (Good Agricultural Practice)เป็นระบบการผลิตที่ใช้สารเคมี และปุ๋ยเคมีได้ แต่สารเคมีและปุ๋ยเคมีที่ใช้จะต้องเป็นสารเคมีและปุ๋ยเคมีที่ได้รับการขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เกษตรกรใช้ในปริมาณที่ถูกต้องตามคำแนะนำ เก็บเกี่ยวเมื่อสารเคมีสลายตัวไม่ตกค้างในผลผลิตเกินค่าความปลอดภัยที่กำหนดตามมาตรฐานสากล
ร้อนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ หรือ มกอช. ที่ต้องรับนโยบายในการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทั่วไปได้รู้จักสินค้า GAP ซึ่งอันที่จริงเรื่องของ GAP นี้กระทรวงเกษตรฯ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2542 โดยอดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร อนันต์ ดาโลดม นโยบายอาหารปลอดภัยของกระทรวงเกษตรฯ ก็เริ่มมาตั้งแต่ปี 2547 โดยอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เนวิน ชิดชอบ
จนถึงพ.ศ. นี้ ผ่านมากว่า 10 ปี เรายังต้องมาสร้างการรับรู้กันอีก นั่นแสดงว่า ในอดีตที่ผ่านมา นโยบายไม่ต่อเนื่อง แล้วแต่ว่ารัฐมนตรีจะมาจากพรรคไหน และจะทำเรื่องอะไรที่พรรคของตนจะได้รับประโยชน์ ข้าราชการประจำ เป็นเพียงกลไกการขับเคลื่อนเท่านั้น.....
วงจรเช่นนี้..ยังมีอยู่อีกหรือไม่...ใครช่วยตอบที
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี