วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568
22 ก.พ.61 ที่การยางแห่งประเทศไทย(กยท.) เปิดบ้านประชุม”โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการกิจการยาง(ยางแห้ง) วงเงินสนเชื่อ 20,000 ล้านบาท” ซึ่งได้ชี้แจงรายละเอียด หลักเกณฑ์ วิธีการดำเนินโครงการ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมรับฟัง 7 บริษัท
นายณกรณ์ ตรรกวิรทัพ รองผู้ว่าการยางฯ กล่าวว่ารัฐบาลชดเชยดอกเบี้ย ให้ร้อยละ3 เพื่อดูดซับยางพาราออกจากระบบ ซึ่งผู้ประกอบการได้วงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ โดยผู้สนใจยื่นสมัครได้สัปดาห์หน้าโดยผ่านขั้นตอนคณะกรรมการ 3 ชุด คือคณะกรรมการกำหนดโครงการ คณะกรรมการชดเชยดอกเบี้ยในแต่ละรอบ และคณะกรรมการตรวจสต็อก ซึ่งคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ประกอบกิจการแปรรูปยางพารา ที่มีโรงเก็บสต็อก โดยคณะกรรมการไปตรวจสต็อก ดูปริมาณการจัดเก็บคูณกับราคา และศักยภาพของแต่ละราย เพื่อไปคำนวนกรอบวงเงินสินเชื่อ
ด้านนายสานิต แก้ววังสรรค์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนระดับ 7 ของฝ่ายวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยาง กล่าวว่าผู้ประกอบการได้รับกรอบวงเงินแล้วไปยื่นกู้ระยะสั้น จากธนาคารพาณิยช์ ถ้าธนาคารอนุมัติแค่50% ส่วนที่เหลือ สามารถไปยื่นอีกธนาคารได้ หลังจากได้รับอนุมัติ มาทำสัญญากับกยท.
เข้าซื้อยาง ในปริมาณเฉลี่ยย้อนหลัง ถ้าไปตรวจเจอสต็อกไม่เพิ่มขึ้นจะไม่ชดเชยดอกเบี้ยให้ ถือเป็นการดำเนินธุรกิจปกติ สำหรับวงเงินผู้ประกอบการได้รับการชดเชยดอกเบี้ย คำนวนจากปริมาณสต็อกเพิ่มขึ้น คูณด้วยราคาประเภทยาง ที่กยท.ประกาศในแต่ละวัน การซื้อยางไม่ต่ำกว่าราคาประกาศ โดยบวกเพิ่ม 50 สตางค์ต่อกก.เป็นวงเงินดอกเบี้ยได้ชดเชย ซึ่งคณะทำงานชดเชยดอกเบี้ย พิจารณาวงเงิน สิ้นสุดโครงการในปี 2562 ผู้เข้าร่วมโครงการมีสัญญากับกยท.1 ปีทั้งนี้มีอีกสองโครงการที่ยังเปิดให้ผู้ประกอบการ เช่นโครงการสนับสนุนสินเชื่อ 1.5 หมื่นล้านบาท และน้ำยางข้นด้วย
ขณะที่ผู้ประกอบการบางราย กล่าวว่าโดยปกติกยท. มีการประกาศราคายางซื้อขายในตลาดกลาง มีเงื่อนไขบวกลบไม่เกิน 2 บาทต่อกก. และกยท.จะนำราคาใดมาคำนวนในกรณีบวกเพิ่มอีก 50 สตางค์ ตรงนี้สร้างความสับสนได้ว่าราคาซื้อขายจริงคือเท่าไหร่แน่
โดยเจ้าหน้าที่กยท. กล่าวว่า ราคายางแต่ละชนิด จะประกาศทุกวันสามารถนำไปใช้ตรวจสอบการซื้อยางจริงๆ มาคิดวงเงินชดเชยดอกเบี้ย ใช้ราคาประกาศ บวกด้วย 50 สตางค์ ไม่รวมในส่วนเงื่อนไขราคาประกาศมาตรฐานกยท.บวกลบ ไม่เกิน 2 บาท โดยสัปดาห์หน้าจะจัดทำรายละเอียดและแสดงตัวอย่างให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้นออกทางเว็ปไซส์ของกยท. อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการมาให้การตรวจสอบทำอย่างรัดกุม อาจมีระเบียบขั้นตอนมากขึ้น
ทางด้านเอกชนรายหนึ่ง กล่าวว่ากยท.จัดเก็บเงินค่าธรรมเนียมส่งออกหรือเงินเซส 2 บาททุกกิโลกรัมได้วงเงินปีละกว่า 9 พันล้านบาท จากผู้ประกอบการอยู่แล้ว อีกทั้งการตั้งกยท.ขึ้นมาโดยมีกฎหมายของตนเองเพื่อให้ดำเนินธุรกิจแข่งขันกับเอกชนได้ มีภาระกิจหลักสร้างเสถียรภาพราคา ก็ควรดำเนินการซื้อจากเกษตรกรโดยตรงจะช่วยดันราคาในตลาดได้ดีกว่า กยท.มาคอยกำหนดราคากลางในตลาดการซื้อขาย ห้ามขึ้นลงไม่เกิน2บาทในแต่ละวัน รวมทั้งยังมีโรงงานแปรรูปยางทั่วประเทศ 6 โรง และส่งออกเองได้ โดยนำเงินเซสมาบริหารโครงการ งบประมาณรัฐไม่ต้องผ่านพ่อค้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี