เปิดเบื้องหลังโยกอดีตหัวหน้าชุดสอบสวน‘หวยอลเวง’พ้นเมืองกาญจน์
23 ก.พ.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีมีข่าวว่า พ.ต.อ.ทศพร ปทุมยา ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี ลงนามในบันทึกข้อความเรื่องส่งตัวข้าราชการตำรวจ ระบุว่า เรียน ผบก.ป. ตามที่ ตร. มีบันทึกลงวันที่ 22 ก.พ.61 อนุมัติให้ พ.ต.ท.ชูวิทย์ เจริญนาค ตำแหน่ง รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองกาญจนบุรี ไปปฏิบัติราชการที่ บก.ป. โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ ผบก.ป. มอบหมาย ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.61 เป็นต้นไปนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พ.ต.ท.ชูวิทย์ เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทางคณะพนักงานสอบสวนกองปราบปราม(บก.ป.) เชิญตัวไปทำการสอบปากคำในฐานะพยานที่ ส.ทล.6 กก.2 บก.ทล.(กาญจนบุรี) เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมกับพยานรายอื่นๆรวม 7 ราย ประกอบด้วย 1.พ.ต.ท.ชูวิทย์ 2.ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ชัชรินทร์กุล รองสว.(สอบสวน) สภ.เมืองกาญจนบุรี 3.ร.ต.ท.ศิลป ถิ่นทุ่งทอง รองสว.(จร.) สภ.เมืองกาญจนบุรี 4.ด.ต.นุชิต กระดังงา ผบ.หมู่(ป) สภ.เมืองกาญจนบุรี 5.น.ส.รัตนาพร สุภาทิพย์ (เจ๊บ้าบิ่น) 6.น.ส.พัชริดา พรมตา (เจ๊พัช) และ นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม (แผน)
ในเอกสารบันทึกข้อความลับของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) เรื่องขอให้พิจารณาสั่งให้ พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี มาปฎิบัติราชการที่ ศปก.ตร. ถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ลงวันที่ 20 ก.พ.61 เพื่อให้การสอบสวนคดีแย่งกรรมสิทธิ์รางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านบาท เกิดความโปร่งใส ที่มีอยู่ทั้งหมด 4 หน้า ระบุว่า จากการสอบสวน พ.ต.ท.ชูวิทย์ ให้การว่า เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เมื่อ 28 พ.ย.60
พ.ต.ท.ชูวิทย์ ให้การว่า เห็นนายปรีชา ใคร่ครวญ กับ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล โต้เถียงกันที่ห้องของ ร.ต.อ.จริยุทธ์ จึงได้เข้าไปสอบถาม เมื่อทราบว่าขัดแย้งเรื่องสลากฯ พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงได้เรียกบุคคลทั้งสองเข้ามาพูดคุยในห้องทำงานของพ.ต.ท.ชูวิทย์ เพื่อไกล่เกลี่ย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงสั่งให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ รับคำร้องทุกข์ จากนั้นพ.ต.ท.ชูวิทย์ ได้รายงานให้ พล.ต.ต.สุทธิ ทราบด้วยวาจา ซึ่งพล.ต.ต.สุทธิ สั่งการให้รีบอายัดเงินในบัญชีของ ร.ต.ท.จรูญ
จากนั้น พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงแจ้งให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ทราบ โดย พล.ต.ต.สุทธิ ได้เรียกให้ พ.ต.ท.ชูวิทย์ และ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ นำสำนวนไปรายงานความคืบหน้าให้ทราบ และกำชับให้สอบพยานต่าง ๆโดยละเอียด ซึ่ง พ.ต.ท.ชูวิทย์ เป็นผู้ลงนามในหนังสืออายัดบัญชีธนาคารของ ร.ต.ท.จรูญ
ในเวลาต่อมา ร.ต.ท.จรูญ ได้มีหนังสือแจ้งให้ถอนอายัดไม่เช่นนั้นจะดำเนินการตามกฎหมาย ดังนั้น ประมาณวันที่ 8 ธ.ค. 60 พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงไปที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อปรึกษาผู้พิพากษาเกี่ยวกับอำนาจการอายัด บัญชีของพนักงานสอบสวน ระหว่างรอพบผู้พิพากษา ได้พบ นางดุษดี หรือ กุ้ง ถิ่นทุ่งทอง เจ้าหน้าที่ศาลซึ่งรู้จักกับพยานมานาน ประมาณ 10 ปี ได้มาเล่าให้พ.ต.ท.ชูวิทย์ ฟังว่าอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่นายปรีชามารับสลากจากน.ส.รัตนาพร และเห็นว่าสลากที่มีเลขท้าย 726 โผล่มาจากกระเป๋าเสื้อของนายปรีชาด้วย
จากนั้น พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงได้กลับมาบอกให้ร.ต.อ.จิรยุทธ์ เรียกนายปรีชา ,น.ส.รัตนาพร และน.ส.พัชริดา มาสอบถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่นางดุษดี เล่ามา ซึ่งเมื่อ น.ส.รัตนาพรและน.ส.พัชริดา มาถึงสถานี (พ.ต.ท.ชูวิทย์ ไม่แน่ใจว่านายปรีชามาด้วยหรือไม่ ) พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงได้เข้าไปสอบถามด้วยตนเอง ซึ่งทั้งสองคนก็บอกว่านางดุษดี อยู่ในเหตุการณ์จริง แต่ที่ผ่านมาไม่ได้กล่างอ้างไว้ เพราะนึกไม่ถึงคนเยอะ จำไม่ได้ พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงแน่ใจว่านางดุษดี อยุ่ในเหตุการณ์และเห็นเหตุการณ์ตามที่เล่าให้ พ.ต.ท.ชูวิทย์ ฟัง
พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงสั่งการให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ สอบปากคำนายปรีชา, น.ส.รัตนาพร และ น.ส.พัชริดา ให้ปรากฎชื่อของนางดุษดี อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพื่อให้มีเหตุในการออกหมายเรียก นางดุษดี มาสอบเป็นพยาน ซึ่ง พ.ต.ท.ชูวิทย์ เคยอ่านคำให้การของผู้กล่าวหาและพยานที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ก่อนการแก้ไขมาแล้วทุกปาก เมื่อพบว่าข้อเท็จจริงใดไม่สอดคล้องกันก็แนะนำให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ทำการสอบสวนพยานปากนั้นให้กลมกลืนกับเหตุการณ์ที่มีอยู่
พ.ต.ท.ชูวิทย์ ยอมรับว่าคำให้การของนายปรีชา ,น.ส.รัตนาพรและ น.ส.พัชริดา มีการแก้ไขหลายครั้ง แต่จำไม่ได้ว่ากี่ครั้งและเมื่อใดบ้าง สาเหตุที่พยานไม่ได้แนะนำให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ทำการสอบสวนเพิ่มเติมไปตามลำดับเหตุการณ์ เพราะจะทำให้คำให้การไม่น่าเชื่อถือ เพราะอาจนำข้อเท็จจริงมาจากสื่อหรือจากแหล่งอื่น ๆคำให้การเพิ่มเติมเช่นนี้ จึงส่งผลต่อการพิจารณานำหนักของพยานในชั้นพนักงานอัยการและชั้นศาล
สำหรับพฤติกรรมเชื่อมโยงของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำให้การนั้น ได้แก่ พล.ต.ต.สุทธิ และพ.ต.ท.ชูวิทย์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ได้มีการตรวจสำนวนและควบคุมนั่งการให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ทำการเปลี่ยนแปลงคำให้การของนายปรีชา ,น.ส.รัตนาพร และน.ส.พัชริดา ให้มีความสมบูรณ์เหมือนว่ามีการสอบสวนข้อเท็จจริงเหล่านี้มาตั้งแต่การสอบสวนครั้งแรก โดยเพิ่มข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ลงไป โดยมี ร.ต.อ.จิรยุทธ์ เป็นผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำให้การ
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก เพราะทำให้พยานหลักฐานของฝ่ายนายปรีชา มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่งผลต่อการมีความเห็นทางคดีของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และอาจส่งผลต่อการพิจารณาคดีชั้นศาลได้ ซึ่งการกระทำของ พล.ต.ต.สุทธิ , พ.ต.ท.ชุวิทย์ และร.ต.อ.จิรยุทธ์ ทำให้ ร.ต.ท.จรูญ ต้องร้องขอความเป็นธรรมต่อ ผบช.ก. เพื่อขอให้โอนสำนวนการสอบสวนให้ บก.ป.ทำการสอบสวน
อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อพิจารณาดังกล่าว คือ บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงคำให้การของนายปรีชา ใคร่ครวญ ผู้กล่าวหา น.ส.รัตนาพร สุภาทิพย์ และน.ส.พัชริดา พรมตา พยานคือ พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี และ พ.ต.ท.ชูวิทย์ เป็นผู้สั่งให้มีการเปลี่ยนแปลงคำให้การ โดยเป็นการสั่งด้วยวาจาและใช้คำพูดว่า “ทำการสอบสวนให้กลมกลืน”
ส่วน ร.ต.อ.จิรยุทธ์ เป็นพนักงานสอบสวนที่เปลี่ยนแปลงคำให้การ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง โดยการเพิ่มข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ได้มาภายหลัง ลงไปในคำให้การเดิมและวันที่ย้อนหลัง เพื่อให้เห็นว่ามีการกล่าวถึงข้อเท็จจริงนั้น ในการสอบสวนปากคำครั้งแรกแล้ว คำให้การจะได้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ซึ่งเมื่อแก้ไขคำให้การเสร็จ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ก็จะนำไปรายงานให้ พล.ต.ต.สุทธิ และ พ.ต.ท.ชูวิทย์ ทราบและตรวจคำให้การ ส่วนคำให้การเดิม ร.ต.อ.จิรยุทธ์ อ้างว่าได้ฉีกทำลายไปหมดแล้ว
ดังนั้น พล.ต.ต.สุทธิ เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ตั้งแต่ 28 พ.ย.60 โดย พ.ต.ท.ชูวิทย์ เป็นผู้ไปรายงานให้ทราบด้วยวาจา ต่อมาก็ปรากฏตามสื่อต่างๆว่า พล.ต.ต.สุทธิ เรียกนายปรีชา และ ร.ต.ท.จรูญ ไปเจรจาตกลง (ยังไม่ปรากฎความชัดเจนว่าเจรจาอย่างไร ผลเป็นยังไง) หลังจากนั้น พล.ต.ต.สุทธิ ได้เรียกให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ นำสำนวนไปให้ตรวจและสั่งการและสั่งการหลายครั้ง แต่เป็นการสั่งด้วยวาจา ซึ่งร.ต.อ.จิรยุทธ์ ให้การว่า พล.ต.ต.สุทธิ เห็นการเปลี่ยนแปลงคำให้การมาโดยตลอดและแสดงการรับรู้ โดยไม่ได้ทักท้วง ทำให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ เชื่อว่าการกระทำของตนเองถูกต้องตรงกับคำสั่งการของ พล.ต.ต.สุทธิ แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี